กลุ่มอารยธรรมชนเผ่าเซมิติค ที่เข้ามาสร้างความเจริญในบริเวณดินแดนเมโสโปเตเมียที่สำคัญ ได้แก่
1.ชาวอัคคาเดียน เป็นพวกเร่ร่อนเผ่าเซมิติคพวกแรกที่เข้ามาในเขตเมโสโปเตเมีย เมื่อประมาณ 2400 ปีก่อนคริสต์ศักราช ภายใต้การนำของพระเจ้าซาร์กอนที่ 1 (Sargon) โดยเข้ายกทัพเข้ารุกรานและยึดครองนครรัฐทั้งหลายของชาวสุเมเรียนและขยายดินแดนไปจนถึงฝั่งตะวันออกของทะเลเมติเตอร์เรเนียน ชาวอัคคาเดียนได้สถาปนาจักวรรดิอัลคาเดียนขึ้น ซึ่งนับได้ว่าเป็นจักวรรดิแห่งแรกของโลกที่ปรากฏในประวัติศาสตร์และนับเป็นพื้นฐานในการตั้งจักวรรดิของมนุษย์ในยุคต่อมา แต่จักวรรดิดังกล่าวนี้ดำรงอยู่ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังสิ้นรัชกาลพระเจ้าชาร์กอนที่ 1 แล้ว ชาวสุเมเรียนก้ยึดดินแดนคืนมาได้
2.ชาวอมอไรต์ เป็นชนเผ่าเซมิติคอีกพวกหนึ่งที่อพยพมาจากทะเลทรายอาราเบีย โดยได้ยกกำลังเข้ายึดครองนครรัฐของชาวสุเมเรียนและขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางเมื่อประมาณ 1750 ก่อนคริสตกาล โดยมีผู้นำที่เข้มแข็งทรงพระนามว่า ฮัมมูราบี (Hammurabi) ซึ่งต่อมาได้สถาปนาจักวรรดิบาบิโรเนียขึ้น โดยมีนครบาบิโลน (Babylon) เป็นศูนย์กลางของจักวรรดิ
จักพรรดิฮัมมูราบีทรงเป็นนักปกครองและนักบริหารที่ยอดเยี่ยมได้ทรงคิดค้นเครื่องมือที่จะช่วยสร้างความเป็นระเบียบและความยุติธรรมให้แก่ดินแดนทั่วทั้งจักวรรดิ เครื่องมือดังกล่าวนั้น คือกฏหมายที่เขียนเป็นลายลักอักษร วึ่งประมวลขึ้นจากจารีตประเพณีของพวกสุเมเรียนเดิมตลอดจนธรรมเนียมปฏิบัติของชนเผ่าเซมิติค เรียกว่า ประมวลกฏหมายฮัมบูราบี (the Code of Hammurabi) มีข้อบัญญัติต่างๆ รวมทั้งสิ้นเกือบ 300 ข้อ จารึกอยู่บนแท่งหินสีดำสูงประมาณ 8 ฟุต จารึกด้วยตัวอักษรคิวนิฟอร์ม ประมวลกฏหมายนี้ใช้หลักความคิดแบบแก้แค้นและตอบโต้อย่างตรงไปตรงมาที่เรียกว่า "ตาต่อตาฟันต่อฟัน" นอกจากนี้ยังว่าด้วยเรื่องต่างๆ ในการปฏิบัติต่อกันของคนในสังคม เช่น เรื่องการค้าขายและประกอบอาชีพ เรื่องทรัพย์สินที่ดิน เรื่องการกินอยู่ระหว่างสามีภรรยาและการหย่าร้าง เป็นต้น ประมวลกฏหมายฉบับนี้นับว่าเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมของมนุษย์ในความพยายามที่จะจัดระเบียบภายในสังคมที่มีคนเข้ามาอยู่รวมกันแล้ว นำระเบียบดังกล่าวเขียนลงไว้อย่างชัดเจน ประมวลกฏหมายฮัมมูราบีจึงเป็นประมวลกฏหมายที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งเหลือตกค้างมาจนถึงสมัยปัจจุบัน
จารึกประมวลกฏหมายฮัมมูราบี |
จักวรรดิบาบิโลเนียนได้เจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยจักวรรดิฮัมมูราบี แต่หลังสมัยของพระองค์อาณาจักรที่เป็นปึกแผ่นอยู่เป็นเวลาเกือบหกร้อยปีค่อยๆเสื่อมลงจนในที่สุดถูกพวกชาวแคสไซต์ (Kassites) เข้ามายึดครอง ชาวแคสไซต์เป็นพวกอารยชนซึ่งไม่มีความสนใจในวัฒธรรมใดๆทั้งสิ้น วัฒนธรรมเก่าแก่ของดินแดนแถบนี้เกือบจะต้องสลายไปอย่างสิ้นเชิง ถ้าไม่มีชนเผ่าเซมิติคอีกพวกหนึ่งที่ตั้งถิ่นฐานในบริเวณภาคเหนือบนลุ่มแม่น้ำไทกริส และชนกลุ่มนี้ได้มีการขยายอิทธิพลเรื่อยๆ จนสามารถพิชิตพวกแคสไซต์ได้ ชนเผ่าเซมิติคดังกล่าวนี้คือชาวอัสซีเรียน
3.ชาวอัสซีเรียน เป็นชนเผ่าเซเมติคอีกพวหนึ่งในระยะแรกได้เริ่มตั้งถิ่นฐานและสร้างสรรค์อารยธรรมในบริเวณภาคเหนือของลุ่มแม่น้ำไทกริส ประมาณ 1300 ปี ก่อนคริสตกาล ชาวอัสซีเรียนเริ่มทำการชยายอาณาเขต และในไม่ช้าก็มีอำนาจครอบคลุมทางเหนือของหุบเขาทั้งหมด ในศตวรรษที่ 10 ก่อนคริสตกาล ชาวอัสซีเรียนได้โค่นอำนาจของพวกแคสไซต์ลงได้และสถาปนาจักวรรดิอัสซีเรียขึ้น ชาวอัสซีเรียนได้ขึ้นชื่อว่า เป็นพวกที่มีชื่อเสียงในความเก่งกล้าสามารถในการรบและความดึร้าย ทำให้สามารถแผ่ขยายจักวรรดิออกไปอย่างกว้างขวางนับเป็นจักวรรดิแห่งแรกที่เจริญขึ้นในยุคเหล็ก โดยได้ทิ้งินุสรณ์แห่งความโหดร้าย ทารุณและความยิ่งใหญ่ไว้ในภาพแกะสลักนูนต่ำอันเป็นศิลปะวัตถุที่ยังคงอยู่มาจนถึงวันนี้ ซึ่งจักพรรดิที่ทรงอนุภาพคือ แอสซูร์บานิปาล ได้โปรดให้รวบรวมแผ่นดินเผาซึ่งบรรจุข้อเขียนด้วยตัวอักษรคิวนิฟอร์มไว้ในหอสมุดใหม่ที่กรุงนิเนอเวร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักวรรดิ
4.ชาวคาลเดียน เป็นชนเผ่าเซมิติคสาขาหนึ่งที่พิชิตจักรวรรดิอัสซีเรียได้สำเร็จ และได้สถาปนานครบาบิโลนขึ้นเป็นเมืองหลวงอีกครั้งหนึ่ง ชาวคาลเดียนได้เรียกชื่อจักรวรรดิใหม่นี้ว่า บาบิโลนเนียใหม่
ชาวคาลเดียนมีความเชื่อว่า แต่เดิมดาวเคราะห์มีเพียง 5 ดวง ได้แก่ ดาวพุทธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสและดาวเสาร์ ซึ่งถือว่าเป็นพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ เมื่อรวมกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็น 7 ดวง ก็จะเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ 7 องค์ ซึ่งวิชาการด้านดาราศาสตร์ของชาวคาลเดียนได้แพร่ไปยังชาวตะวันตกในเวลาต่อมา ดังจะเห็นได้จากการตั้งชื่อวันก็ตั้งตามชื่อของดวงดาวบนท้องฟ้า นอกจากนี้ชาวคาลเดียนสามารถหาเวลาที่ดวงจันทร์หมุนรอบโลกเวลาเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคา รวมทั้งคำนวณความยาวของปีทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ของกรีกได้นำผลงานของชาวคาลเดียนมาใช้ในภายหลัง
ในยุคอารยธรรมของจักพรรดิเนบูคัดเนสซาร์ทรงครองราชย์อยู่ระหว่างปี 604-561 ก่อนคริสตกาล พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ชอบความหรูหราฟุ่มเฟื่อยโปรดให้ฟื้นฟูบูรณะนครบาบิโลนขึ้นใหม่ และตกแต่งระเบียบพระราชวังด้วยการปลูกต้นไม้ขึ้น เพื่อให้คลุมหลังคาพระราชวังอย่างหนาแน่น หลังคาที่ปลูกต้นไม้นี้เรียกว่า สวนลอยแห่งบาบิโลน วึ่งชาวกรีกนับเป็นสิ่งมหัสจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกที่มีผู้กล่าวถึงในยุคปัจจุบัน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น