อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเป็นอารยธรรมที่ถือกำเนิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุในประเทศอินเดียและปากิสถานในปัจจุบัน โดยถือว่าอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเป็นอารยธรรมยุคแรกๆของโลก กล่าวคือ เป็นอารยธรรมตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ต่อเนื่องใสจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุช่วงประมาณ 4000 -2500 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งจากหลักฐานทางโบราณคดีปรากฏให้เห็นว่า อินเดียมีความเจริญมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในบริเวณเนินเขาในบาลูจิสถานตอนใต้
เมื่อประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้มีการสำรวจขุดค้นตามโบราณสถานของอินเดียหลายแห่ง โดยมี เซอร์จอร์น มาร์แชล นักโบราณคดีชาวอังกฤษ เป็นหัวหน้าคณะในการสำรวจและได้ขุดพบเมืองโบราณที่เมืองฮารัปปา ในแคว้นปัญจาบทางตะวันตกและเมืองโมเห็นจาดาโร ในแคว้นซินด์ (ปัจุบันอยู่ในประเทศปากิสถาน) เมืองทั้งสองอยู่ห่างกันประมาณ 350 ไมล์ เมืองเหล่านี้จัดเป็นสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์อินเดีย เพราะพบจารึกจำนวนมากแต่ยังไม่มีผู้ใดสามารถอ่านออก เมืองโบราณทั้งสองเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญของชนเผ่าที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ คือพวก ดราวิเดียน ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองเดิมของอินเดีย
เมืองโมเห็นจาดาโร |
ลักษณะสิ่งก่อสร้างของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ
สิ่งก่อสร้างและลักษณะการวางผังเมืองของเมืองฮารัปปาและเมืองโมเห็นจาดาโร พบว่ามีการแบ่งเขตภายในเมืองออกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน กล่าวคือ มีการจัดที่ตั้งอาคารสำคัญๆไว้อย่างเป็นหมวดหมู่ โดยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุจะมีการก่อสร้างอาคารที่มีฐานแข็งแรงโดยสร้างด้วยอิฐโบกปูน สิ่งก่อสร้างที่เป็นบ้านพักอาสัยจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีการเจาะหน้าต่างและห้องที่มีประตูออกสู่ลานหน้าบ้านได้ ลักษณะเด่นอีกประการของบ้านยุคนี้คือ ทุกบ้านสร้างบ่อน้ำ มีห้องน้ำและมีท่อน้ำและท่อระบายน้ำโสโครกออกไปนอกบ้านเพื่อเชื่อมกับท่อระบายน้ำโสโครกขนาดใหญ่
การดำเนินชีวิตของประชากร
ประชากรที่อาศับอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นกสกรรม เลี้ยงสัตว์ และการผลิตเครื่องใช้ประเภทต่างๆ นิยมปลูกพืช เช่นข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี หมาก อินทผลัม โดยชาวสินธุนิยมบริโภคข้าวสาลีเป็นอาหารหลัก นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตว์ไว้บริโภค เช่น แกะ หมู ปลา ไก่ ส่วนสัตว์เลี้ยงที่นิยมเลี้ยงไว้ใช้งาน เช่นวัว ควาย แกะ ช้าง และอูฐ นอกจากนี้ แล้วยังมีการประกอบอาชีพค้าขาย โดยพบหลักฐานจากซากเมืองโบราณถึงการมีร้านเล็กๆ ริมสองฟากถนน และยังพบบ้านที่พักอาศัยหลายหลังที่มีขนาดกว้างขวางใหญ่แตกต่างกว่าหลังอื่นๆ วึ่งสันนิษฐานว่าคงเป็นบ้านของบรรดาพ่อค้าที่มีความมั่งคั่ง
ด้านการผลิตเครื่องใช้ประเภทต่างๆ พบว่า อารยธรรมของชาวสินธุรู้จักการทำเครื่องปั้นดินเผาที่เขียนลวดลายสีดำบนพื้นสีแดง เครื่องปั้นดินเผาชนิดนี้พบมากในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ ตลอดไปจนถึงลุ่มแม่น้ำคงคา ขณะเดียวกันยังพบร่องรอยความเจริญจากเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหินและสำริด นอกจากนี้ยังพบเครื่องปั่นฝ้าย แสดงให้เห็นว่ายุคนี้ รู้จักการปั่นฝ้าย และรู้จักการทอผ้าขึ้นใช้เอง ซึ่งการแต่งกายของชาวสินธุเป็นแบบง่ายๆ ด้วยผ้าฝ้ายและหนังสัตว์นำมาห่อหุ้มร่างกาย โดยชายและหญิงแต่งกายด้วยผ้า 2 ชิ้น ท่อนล่างเป็นผ้านุ่งแบบโธติ มีเชือกคาดเอว ท่อนบนปิดไหล่ขวา มีการใช้เครื่องประดับ เช่น กำไล แหวน เครื่องประดับจมูก ต่างหูและสายสร้อยคอที่ทำจากกระดูกสัตว์และโลหะ เช่น เงินและทอง เป็นต้น
ความเชื่่อ
หลักฐานที่ค้นพบจากเมืองโบราณทั้ง 2 แห่ง เช่น รูปปั้นดินเผาและรูปสลักต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรูปเจ้าแม่ ทำให้สันนิษฐานได้ว่า ชาวสินธุนับถือเทพเจ้าหลายองค์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเทพสตรีหรือเทพมารดา (Mother Goddess) เช่น แม่พระธรณี ซึ่งเป็น "เทพแห่งแผ่นดิน" เทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ เป็นเทพที่ทำให้แผ่นดินมีความสุขและร่มเย็น โดยพบรูปเคารพของเทพเจ้าที่เป็นเทพสตรี เปลือยท่อนบนใส่เครื่องประดับศีรษะและสใมแต่เข็มขัดรอบๆสะโพก รูปปั้นลักษณะดังกล่าวพบเป็นจำนวนมากในหลายท้องที่ นอกจากเทพสตรีแล้ว ชาวสินธุยังนับถือเทพเจ้าที่เป็นเพศชายอีกหลายองค์ ซึ่งสันนิษฐานได้จากการพบเหรียญตรา ซึ่งมีรูปมนุษย์เพศชายนั่งท่าขัดสมาธิรอบล้อมไปด้วยสัตว์ต่างๆ เช่น ช้าง เสือ แรด ควาย สันนิษฐานว่าอาจเป็นต้นกำเนิดของพระศิวะในศาสนาฮินดู นอกจากนี้ยังค้นพบดวงตาซึ่งทำมาจากหินอ่อนจำนวนมาก บนดวงตาสลักรูปสัตว์ชนิดต่างๆ โดยเฉพาะวัว ทำให้สันนิษฐานได้ว่า ความเชื่อในศาสนาของชาวสินธุอาจมีความเกี่ยวพันกับธรรมชาติ การนับถือภูติผีปีศาจและเทพเจ้าที่สิงสถิตอยู่ในธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ ลำธาร ภูเขา ฝน ลม และน้ำ เป็นต้น
ขณะเดียวกันยังพบว่า อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุมีการติดต่อสัมพันธ์กับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย เนื่องจากคนในลุ่มแม่น้ำสินธุได้มีการติดต่อกับคนในเมโสโปเตเมีย ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนของคนทั้ง 2 อารยธรรมกล่าวคือได้พบเครื่องปั้นดินเผาที่มีลักษณะคล้ายกับที่พบในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุในบริเวณลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสเป็นการแสดงให้เห็นว่าได้มีการนำเครื่องปั้นดินเผาที่ประดิษฐ์ขึ้นในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุไปแลกเปลี่ยนกับคนในลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส และยังได้นำสิ่งของจากลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสเข้ามาในแถบแม่น้ำสินธุ เช่น เครื่องประดับ ดวงตราที่เป็นรูปทรงกระบอกและรูปสี่เหลี่ยม ที่มีลวดลายเป็นรูปคนและสัตว์ และมีการจารึกที่ยังตีความหมายไม่ได้อีกด้วย
ต่อมาเมื่อประมาณ 1500 ปีก่อนคริสตกาล อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเริ่มเสื่อมลง ซึ่งจากการขุดค้นทางด้านโบราณคดีทำให้สันนิษฐานว่า ความเสื่อมของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุอาจเนื่องจากถูกภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมหรือโรคระบาด ทั้งนี้เพราะจากการขุดพบกองกระดูกของมนุษย์จำนวนมากที่ทับถมกัน ขณะเดียวกันยังเป็นช่วงเวลาที่พวกอารยันได้ค่อยๆ แพร่จากภาคเหนือไปทางตะวันออกและลงไปทางใต้อย่างช้าๆ เข้าไปรุกรานทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียและขับไล่พวกดราวิเดียนถอยร่นไปทางทิศตะวันออกแถบลุ่มแม่น้ำคงคา ซึ่งบางกลุ่มได้ปะปนทางสายโลหิตกับพวกดราวิเดียนจนทำให้เกิดกลุ่มชนกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า พวกฮินดู
ขณะเดียวกันยังพบว่า อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุมีการติดต่อสัมพันธ์กับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย เนื่องจากคนในลุ่มแม่น้ำสินธุได้มีการติดต่อกับคนในเมโสโปเตเมีย ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนของคนทั้ง 2 อารยธรรมกล่าวคือได้พบเครื่องปั้นดินเผาที่มีลักษณะคล้ายกับที่พบในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุในบริเวณลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสเป็นการแสดงให้เห็นว่าได้มีการนำเครื่องปั้นดินเผาที่ประดิษฐ์ขึ้นในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุไปแลกเปลี่ยนกับคนในลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส และยังได้นำสิ่งของจากลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสเข้ามาในแถบแม่น้ำสินธุ เช่น เครื่องประดับ ดวงตราที่เป็นรูปทรงกระบอกและรูปสี่เหลี่ยม ที่มีลวดลายเป็นรูปคนและสัตว์ และมีการจารึกที่ยังตีความหมายไม่ได้อีกด้วย
ต่อมาเมื่อประมาณ 1500 ปีก่อนคริสตกาล อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเริ่มเสื่อมลง ซึ่งจากการขุดค้นทางด้านโบราณคดีทำให้สันนิษฐานว่า ความเสื่อมของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุอาจเนื่องจากถูกภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมหรือโรคระบาด ทั้งนี้เพราะจากการขุดพบกองกระดูกของมนุษย์จำนวนมากที่ทับถมกัน ขณะเดียวกันยังเป็นช่วงเวลาที่พวกอารยันได้ค่อยๆ แพร่จากภาคเหนือไปทางตะวันออกและลงไปทางใต้อย่างช้าๆ เข้าไปรุกรานทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียและขับไล่พวกดราวิเดียนถอยร่นไปทางทิศตะวันออกแถบลุ่มแม่น้ำคงคา ซึ่งบางกลุ่มได้ปะปนทางสายโลหิตกับพวกดราวิเดียนจนทำให้เกิดกลุ่มชนกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า พวกฮินดู
สวยจังเลยนะครับ สวยมาๆๆๆ สวยๆๆ ที่ผมเคยเจอมาครับ
ตอบลบ