วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การรับอารยธรรมจากภายนอก

              ดินแดนตะวันออกเฉียงใต้มีการติดต่อแลกเปลี่ยนอารธรรมกับภายในมาช้านาน  ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์  อย่างไรก็ตาม  หากพิจารณาจากร่องรอยหลักฐานทางด้านโบราณคดีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  การติดต่อแลกเปลี่ยนอารธรรมกับภายนอกในดินแดนดังกล่าวเกิดขึ้นประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 2-3  อารธรรมที่เข้ามามีบทบาทในตะวันออกเฉียงใต้  มีดังนี้

1.อารธรรมอินเดีย
              การติดต่อระหว่างเมืองท่าตามฝั่งทะเลตะวันตกของตะวันออกเฉียงใต้กับอินเดียอาจมีมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์  ซึ่งการติดต่อนั้นมีทั้งคนอินเดียเดินทางมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  และในทำนองเดียวกันคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก้เดินทางไปยังอินเดียเช่นกัน  การติดต่อระหว่างคนสองอารธรรมได้ดำเนินเรื่อยๆมาจนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 2-3  คนสองดินแดนนี้มีการติดต่อกันมากขึ้น โดยพบหลักฐานทางด้านวรรณคดี  คือ ศิลาจารึกภาษาสันสกฤต  และพระพุทธรูปศิลปะอมราวดีทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย  การรับอารธรรมอินเดียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เป็นไปอย่างช้าๆ  แต่ฝังรากลึกลงในดินแดนแถบนี้จนกระทั่งปัจจุบัน
               หลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการติดต่อระหว่างอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  มีทั้งจากหลักฐานที่พบภายในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหลักฐานจากภายนอก  ดังนี้
                1.หลักฐานภายใน  ที่เป็นลายลักษณ์อักษรมีหลักฐานที่เป็นจารึกเกี่ยวกับอาณาจักรฟูนันศรีเกษตร  ทวารวดี  เรื่อยไปจนถึงอาณาจักต่างๆ  ในแหลมมลายู  จารึกเหล่านี้ส่วนใหญ่เขียนเป็นภาาาสันสกฤต  ด้วยตัวอักษาสมัยราชวงศ์ปัลลวะ  ซึ่งมีอายุอยู่ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 4 นอกจากนี้ยังพบอิทธิพลของตัวอักษาสมัยก่อนนาครีจากแคว้นเบงกอลทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย  แพร่เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ในช่วง ค.ศ.707-807 ด้วย
                  2.หลักฐานภายนอก  มีดังนี้
                              (1) หลักฐานอินเดีย  วรรณคดีของอินเดีย  และชาดกในพุทธศาสนา  รวมถึงนิทานของอินเดียสมัยโบราณ  มีการกล่าวถึงชื่อที่มีนัยยะหมายถึงดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เช่น  วรรณคดีเรื่องรามายณะ  กล่าวถึง "ยวทวีป"  ซึ่งหมายถึง  เกาะเงินเกาะทอง  นักวิชาการสันนิษฐานว่า  "ยวทวีป"  คือ เกาะชวาและสุมาตรา  นอกจากนี้ในคัมภีร์อรรถศาสตร์  ได้มีการกล่าวถึง  เรื่องราวการอพยพชาวอินเดียวไปยังดินแดนแห่งใหม่  และดินแดนแห่งนั้นสันนิษฐานว่า  คือ  เอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ข้อมูลนี้ดูจะสอดคล้องกับหลักฐานประเภทเรื่องเล่าพื้นบ้านของอาณาจักรขอมโบราณที่กล่าวว่า  พราหมณ์อินเดียได้เดินทางทางทะเล  และมาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่สันนิษฐานว่าเป็นอาณาจักรฟูนัน
                                (2) หลักฐานจีน  จดหมายจีนได้เล่าเรื่องราวที่แสดงถึงการติดต่อระหว่างอินเดียวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ซึ่งกล่าวว่า  มีพราหมณ์ชื่อโกฑินยะ  ได้เดินทางมายังดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 1-2 และแต่งงานกับหญิงชาวพื้นเมือง
                                 (3) หลักฐานโรมัน  เช่นหนังสือเรื่อง  ภิมิศาสตร์ วึ่งเขียนเมื่อประมาณ ค.ศ. 165 ของปโตเลมี   (Ptolemy) ในหนังสือแสดงให้เห็นลักษณะเด่นๆ  ของผืนแผ่นดินใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างชัดเจน
                 

2.อารธรรมจีน
             หลักฐานเอกสารของจีนได้ให้ข้อมูลว่า  ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการติดต่อกับชาวจีนอย่างช้าที่สุดก็ในคริสต์ศตวรรษที่ 1-2 ซึ่งเป็นเวลาใกล้เคียงกับการที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ติดต่อกับอินเดีย  แม้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้ติดต่อกับจีนในเวลาที่ใกล้เคียงกับอินเดียก็ตาม  แต่ดูเหมือนว่าการแพร่กระจายของอารธรรมจากจีนจำกัดกว่าอารธรรมอินเดีย  ประเด็นนี้  หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ  ทรงชี้แจงให้เหตุผลไว้ว่า  อาจจะเนื่องจากว่าประเทศจีนแผ่อารธรรมไปพร้อมกับการชนายอำนาจ  อีกทั้งต้องการให้ชนชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รับรองอำนาจอันยิ่งใหญ่ของตนด้วยการส่งบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีน  ดังนั้นอารธรรมจีนที่แผ่เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จีงอยู่ในวงจำกัด
                     อารธรรมจีนที่แพร่เข้ามาในเอเชียตะวันออกนั้นดูเหมือนจะมีอิทธิพลในอาณาจักรลินยี่  ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอาณาจักรจัมปา (ในดินแดนเวียดนามปัจจุบัน)  เนื่องจากอาณาจักรลินยี่มีการติดต่อกับจีนมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้ว

3.อารธรรมอิหร่าน
               อารธรรมอิหร่านเจริญรุ่งเรืองขึ้นในบริเวณดินแดนของประเทศอิหร่านในปัจจุบัน  ชาวเปอร์เซียเข้ามาค้าขายในดินแดนเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาเป็นระยะเวลานานกว่าพันปี  ทั้งนี้นักวิชาการบางคนเชื่อว่าชาวอิหร่านเข้ามาแถบนี้อย่างช้าก้คริสต?ศตวรรษที่ 7 เมื่อพิจารณาจากหลักฐานทางภาษา  พบว่า  ข้อความในจารึกที่ 1  จารึกพ่อขุนรามคำแหง  มีคำว่า  ตลาดปสาน  ซึ่งสันนิษฐานว่า  มาจากคำในภาษาอิหร่านว่า บาซาร์  หลักฐานจากจารึกดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงอารธรรมอิหร่านที่แพร่เข้ามาในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
                         

วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ

      อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเป็นอารยธรรมที่ถือกำเนิดขึ้นบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุในประเทศอินเดียและปากิสถานในปัจจุบัน  โดยถือว่าอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเป็นอารยธรรมยุคแรกๆของโลก  กล่าวคือ  เป็นอารยธรรมตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ต่อเนื่องใสจนถึงสมัยประวัติศาสตร์  สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุช่วงประมาณ 4000 -2500 ปีก่อนคริสตกาล  ซึ่งจากหลักฐานทางโบราณคดีปรากฏให้เห็นว่า  อินเดียมีความเจริญมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในบริเวณเนินเขาในบาลูจิสถานตอนใต้


             เมื่อประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้มีการสำรวจขุดค้นตามโบราณสถานของอินเดียหลายแห่ง  โดยมี เซอร์จอร์น มาร์แชล นักโบราณคดีชาวอังกฤษ  เป็นหัวหน้าคณะในการสำรวจและได้ขุดพบเมืองโบราณที่เมืองฮารัปปา  ในแคว้นปัญจาบทางตะวันตกและเมืองโมเห็นจาดาโร  ในแคว้นซินด์  (ปัจุบันอยู่ในประเทศปากิสถาน)  เมืองทั้งสองอยู่ห่างกันประมาณ  350 ไมล์  เมืองเหล่านี้จัดเป็นสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์อินเดีย  เพราะพบจารึกจำนวนมากแต่ยังไม่มีผู้ใดสามารถอ่านออก  เมืองโบราณทั้งสองเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญของชนเผ่าที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ  คือพวก ดราวิเดียน  ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองเดิมของอินเดีย

เมืองโมเห็นจาดาโร
           ลักษณะสิ่งก่อสร้างของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ
            
                       อารยธรรม สินธุเกิดขึ้นเมื่อพวกดราวิเดียนได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอย่างมั่นคงในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ  ซึ่งจุดเด่นของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุอยู่ที่การก่อสร้างและการวางผังเมืองอย่าเป็นระบบ  เป็นการแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาและความสามารถของคนดราวิเดียนเป็นอย่างดี
                       สิ่งก่อสร้างและลักษณะการวางผังเมืองของเมืองฮารัปปาและเมืองโมเห็นจาดาโร  พบว่ามีการแบ่งเขตภายในเมืองออกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน  กล่าวคือ  มีการจัดที่ตั้งอาคารสำคัญๆไว้อย่างเป็นหมวดหมู่    โดยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุจะมีการก่อสร้างอาคารที่มีฐานแข็งแรงโดยสร้างด้วยอิฐโบกปูน  สิ่งก่อสร้างที่เป็นบ้านพักอาสัยจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม  มีการเจาะหน้าต่างและห้องที่มีประตูออกสู่ลานหน้าบ้านได้  ลักษณะเด่นอีกประการของบ้านยุคนี้คือ  ทุกบ้านสร้างบ่อน้ำ  มีห้องน้ำและมีท่อน้ำและท่อระบายน้ำโสโครกออกไปนอกบ้านเพื่อเชื่อมกับท่อระบายน้ำโสโครกขนาดใหญ่
                      
           การดำเนินชีวิตของประชากร

                       ประชากรที่อาศับอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นกสกรรม  เลี้ยงสัตว์  และการผลิตเครื่องใช้ประเภทต่างๆ  นิยมปลูกพืช  เช่นข้าวบาร์เลย์  ข้าวสาลี  หมาก  อินทผลัม  โดยชาวสินธุนิยมบริโภคข้าวสาลีเป็นอาหารหลัก  นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงสัตว์ไว้บริโภค เช่น แกะ หมู ปลา ไก่ ส่วนสัตว์เลี้ยงที่นิยมเลี้ยงไว้ใช้งาน  เช่นวัว ควาย แกะ  ช้าง  และอูฐ  นอกจากนี้  แล้วยังมีการประกอบอาชีพค้าขาย  โดยพบหลักฐานจากซากเมืองโบราณถึงการมีร้านเล็กๆ  ริมสองฟากถนน  และยังพบบ้านที่พักอาศัยหลายหลังที่มีขนาดกว้างขวางใหญ่แตกต่างกว่าหลังอื่นๆ  วึ่งสันนิษฐานว่าคงเป็นบ้านของบรรดาพ่อค้าที่มีความมั่งคั่ง
                      ด้านการผลิตเครื่องใช้ประเภทต่างๆ พบว่า  อารยธรรมของชาวสินธุรู้จักการทำเครื่องปั้นดินเผาที่เขียนลวดลายสีดำบนพื้นสีแดง  เครื่องปั้นดินเผาชนิดนี้พบมากในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ  ตลอดไปจนถึงลุ่มแม่น้ำคงคา  ขณะเดียวกันยังพบร่องรอยความเจริญจากเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำด้วยหินและสำริด  นอกจากนี้ยังพบเครื่องปั่นฝ้าย  แสดงให้เห็นว่ายุคนี้  รู้จักการปั่นฝ้าย  และรู้จักการทอผ้าขึ้นใช้เอง  ซึ่งการแต่งกายของชาวสินธุเป็นแบบง่ายๆ  ด้วยผ้าฝ้ายและหนังสัตว์นำมาห่อหุ้มร่างกาย  โดยชายและหญิงแต่งกายด้วยผ้า 2 ชิ้น  ท่อนล่างเป็นผ้านุ่งแบบโธติ  มีเชือกคาดเอว  ท่อนบนปิดไหล่ขวา  มีการใช้เครื่องประดับ  เช่น  กำไล  แหวน  เครื่องประดับจมูก  ต่างหูและสายสร้อยคอที่ทำจากกระดูกสัตว์และโลหะ  เช่น เงินและทอง  เป็นต้น

           ความเชื่่อ

                      หลักฐานที่ค้นพบจากเมืองโบราณทั้ง 2 แห่ง  เช่น  รูปปั้นดินเผาและรูปสลักต่างๆ  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรูปเจ้าแม่  ทำให้สันนิษฐานได้ว่า  ชาวสินธุนับถือเทพเจ้าหลายองค์  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเทพสตรีหรือเทพมารดา (Mother Goddess) เช่น  แม่พระธรณี  ซึ่งเป็น "เทพแห่งแผ่นดิน"  เทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์  เป็นเทพที่ทำให้แผ่นดินมีความสุขและร่มเย็น  โดยพบรูปเคารพของเทพเจ้าที่เป็นเทพสตรี  เปลือยท่อนบนใส่เครื่องประดับศีรษะและสใมแต่เข็มขัดรอบๆสะโพก  รูปปั้นลักษณะดังกล่าวพบเป็นจำนวนมากในหลายท้องที่  นอกจากเทพสตรีแล้ว  ชาวสินธุยังนับถือเทพเจ้าที่เป็นเพศชายอีกหลายองค์  ซึ่งสันนิษฐานได้จากการพบเหรียญตรา  ซึ่งมีรูปมนุษย์เพศชายนั่งท่าขัดสมาธิรอบล้อมไปด้วยสัตว์ต่างๆ  เช่น  ช้าง เสือ แรด ควาย  สันนิษฐานว่าอาจเป็นต้นกำเนิดของพระศิวะในศาสนาฮินดู  นอกจากนี้ยังค้นพบดวงตาซึ่งทำมาจากหินอ่อนจำนวนมาก  บนดวงตาสลักรูปสัตว์ชนิดต่างๆ  โดยเฉพาะวัว  ทำให้สันนิษฐานได้ว่า  ความเชื่อในศาสนาของชาวสินธุอาจมีความเกี่ยวพันกับธรรมชาติ  การนับถือภูติผีปีศาจและเทพเจ้าที่สิงสถิตอยู่ในธรรมชาติ  เช่น  ต้นไม้  ลำธาร  ภูเขา  ฝน  ลม  และน้ำ  เป็นต้น
                    ขณะเดียวกันยังพบว่า  อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุมีการติดต่อสัมพันธ์กับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย  เนื่องจากคนในลุ่มแม่น้ำสินธุได้มีการติดต่อกับคนในเมโสโปเตเมีย  ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนของคนทั้ง 2 อารยธรรมกล่าวคือได้พบเครื่องปั้นดินเผาที่มีลักษณะคล้ายกับที่พบในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุในบริเวณลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสเป็นการแสดงให้เห็นว่าได้มีการนำเครื่องปั้นดินเผาที่ประดิษฐ์ขึ้นในบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุไปแลกเปลี่ยนกับคนในลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส  และยังได้นำสิ่งของจากลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสเข้ามาในแถบแม่น้ำสินธุ  เช่น  เครื่องประดับ  ดวงตราที่เป็นรูปทรงกระบอกและรูปสี่เหลี่ยม  ที่มีลวดลายเป็นรูปคนและสัตว์  และมีการจารึกที่ยังตีความหมายไม่ได้อีกด้วย
                   ต่อมาเมื่อประมาณ 1500 ปีก่อนคริสตกาล  อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเริ่มเสื่อมลง  ซึ่งจากการขุดค้นทางด้านโบราณคดีทำให้สันนิษฐานว่า  ความเสื่อมของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุอาจเนื่องจากถูกภัยธรรมชาติ  เช่น  น้ำท่วมหรือโรคระบาด  ทั้งนี้เพราะจากการขุดพบกองกระดูกของมนุษย์จำนวนมากที่ทับถมกัน  ขณะเดียวกันยังเป็นช่วงเวลาที่พวกอารยันได้ค่อยๆ  แพร่จากภาคเหนือไปทางตะวันออกและลงไปทางใต้อย่างช้าๆ  เข้าไปรุกรานทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดียและขับไล่พวกดราวิเดียนถอยร่นไปทางทิศตะวันออกแถบลุ่มแม่น้ำคงคา  ซึ่งบางกลุ่มได้ปะปนทางสายโลหิตกับพวกดราวิเดียนจนทำให้เกิดกลุ่มชนกลุ่มใหม่ที่เรียกว่า  พวกฮินดู
                    

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อารยธรรมยุคต่างๆโลกตะวันออก


อารยธรรมของยุคหินเก่าโลกตะวันออก

             อารยธรรมยุคหินเก่าของโลกตะวันออกซึ่งคือทวีปเอเชีย  เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 500000 - 10000 ปีล่วงมาแล้ว  มนุษย์ในยุคนี้มีชีวิตเร่ร่อนไปตามแหล่งอาหารยังไม่รู้จักการตั้งถิ่นฐานที่แน่นอน  บางกลุ่มก้อาศัยอยู่ตามถ้ำและใต้หน้าผา  ดำรงชีวิตโดยการล่าสัตว์  เก็บพืชผัก  ผลไม้จากป่า  เครื่องมือเครื่องใช้และอาวุธทำมาจากหินที่เก็บในบริเวณภูเขานำมาขัดแบบหยาบๆ  เพื่อใช้ในการล่าสัตว์และหาอาหาร  และยังพบร่องรอยว่ายังมีการเริ่มใช้ไฟด้วย
            หลักฐานการดำรงอยู่ของมนุษย์ในโลกตะวันออกพบในหลายท้องที่  เช่น  พบโครงกระดูกของมนุษย์หยวนโหม่ว (Yuanmou man) ทางบริเวณมณฑลยูนนาน  สันนิษฐานว่ามีอายุประมาณ  1700000 ปี ล่วงมาแล้ว  และพบมนุษย์กรุงปักกิ่ง (Peking man)  สันนิษฐานว่า  มีอายุราว 400000 ปีก่อนคริสตกาล  ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวจีนปัจจุบัน
            

อารยธรรมของยุคหินกลางโลกตะวันออก

             อารยธรรมของยุคหินกลางของโลกตะวันออก  เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 10000 - 4000 ปีล่วงมาแล้ว  เครื่องมือ เครื่องใช้ยังคงเป็นหิน  แต่มีความคม  แข็งแรง  มีขนาดเล็กกว่า  มีการกระเทาะคมหินทั้งสองด้านสำหรับใช้งาน  และมีฝีมือประณีตกว่าสมัยหินเก่า  อาวุธที่ขุดพบได้แก่ธนูที่ปลายธนูทำด้วยหินที่เหลาให้แหลม  มนุษย์ยุคนี้อาศัยอยู่ในถ้ำและเพิงผาใกล้ห้วยแม่น้ำลำธาร  ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์แต่ยังไม่รู้วิธีการเลี้ยงสัตว์  และยังคงเก็บของป่าเป็นอาหาร  แต่ในบางภูมิภาค  เช่น  ดินเดียเิร่มรู้จักการเพาะปลูก  ได้แก่  ข้าว  ถั้ว  แตงกวา มะเขือ  ผักกาด  ฯลฯ  นอกจากนี้ยังได้มีการนำเอากระดูกสัตว์ ก้างปลาและเปลือกหอย  ทำเป็นเครื่องมือเช่น  หัวธนู  หอก  ฉมวก  ขณะเดียวกัน  ยังรู้จักทำเครื่องประดับจากเปลือกหอย  กระดูกสัตว์  เช่น  กำไล  จี้  สร้อยคอ  ตุ้มหู  เป็นต้น
           

อารยธรรมของยุคหินใหม่โลกตะวันออก

             อารยธรรมยุคหินใหม่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4000 - 2000 ปีล่วงมาแล้ว  มนุษย์สมัยนั้นรู้จักการเพาะปลูกแบบเกษตรกรรม เช่น พบว่ามีการปลูกข้าวเจ้า  และมีการเลี้ยงสัตว์  เช่น หมู ทำให้มนุษย์เริ่มปักหลักอยู่กับที่  มีการสร้างบ้านที่ทำด้วยไม้และไม้ไผ่  มีการประดิษเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นลวดลายแบบง่ายๆ  บางชั้นมีการใช้สิเขียนลาย  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสีแดง  ส่วนเครื่องมือเครื่องใช้ยังคงเป็นหิน  แต่มีการขัดให้เรียบขึ้นเรียกว่า  เครื่องมือหินขัด  เช่น  ขวานหินขัดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า  และขวานพาดบ่าปลายมล  ในประเทศไทยชาวบ้านเรียกขวานชนิดนี้ว่า  ขวานรามสูรหรือขวานฟ้า  โดยเชื่อว่าเป็นเครื่องลางของขลัง  เป็นเครื่องนำโชคลาภ

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดอารยธรรม


ปัจจัยที่ 1 สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์
                สถาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์เป็นปัยจัยสำคัญโดยตรงปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์อารยธรรมของมนุษย์ขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยโบราณ  สังคมสมัยนั้นมีลักษณะเป็นสังคมเกษตรกรรม  ดังนั้นธรรมชาติจึงมีอิทธิพลเหนือชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์  จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์  หลายแห่งได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของธรรมชาติว่ามีผลต่อความเจริญของอารยธรรม มนุษย์อย่างมาก  ดังจะเห็นได้ว่าอารยธรรมสำคัญๆที่เกิดขึ้นในสมัยโบราณ  เช่น  อารยธรรมเมโสโปเตเมีย  ตั้งอยู่บนดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ในลุ่มแม่น้ำไกริสและยูเฟรติส  อารยธรรมอียิปต์ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์  อารยธรรมอินเดียตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ  อารยธรรมจีนตั้งอยู่ราบลุ่มแม่น้ำฮวงโห  อารยธรรมกรีกและอารยธรรมโรมันตั้งอยู่บริเวณริมคาบสมุทร  เป็นต้น  จะเห็นได้ว่าอารยธรรมโบราณดังกล่าวเกิดขึ้นในสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีความเหมาะสม  ซึ่งอาจเป็นวริเวณที่ราบใกล้ภูเขา  ที่ราบลุ่มแม่น้ำ  หรือบริเวณที่ที่มีความเหมาะสมกับการเพาะปลูก  โดยการเลือกตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เหมาะสมนี้จะช่วยให้ชุมชนนั้นเกิดการพัฒนาจนถึงขั้นมีการสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นได้
              นอกจากนี้นักภูมิศาสตร์ชาวอมเริกันชื่อ ดร.เอลล์สเวอร์ธ ฮันตินตัน  (Dr.Ellsworth Huntinton) ได้นำทฏษฏีภูมิศาสตร์  มาอธิบายว่า  สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์เป็นปัยจัยที่ช่วยเสริมสร้างอารยธรรมได้อย่างไร  โดยได้สนับสนุนความเชื่อดั้งเดิมของนักแราชญ์ในสมัยโบราญ  คือ อริสโตเติล  ที่ว่าปัยจัยอื่นอาจมีความสำคัญเหมือนกันในการสร้างอารยธรรม  แต่ไม่ว่าชาติใด  ไม่ว่าจะสมัยปัจจุบันหรือสมัยโบราณก็จะไม่สามารถสร้างสมวัฒนธรรมของตนได้สูงสุด  ถ้าปราศจากสิ่งแวดล้อมที่ดี  นั่นหมายถึงต้องมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม  ขณะเดียวกันยังกล่าวอีกว่า  อุณหภูมิที่เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐาน  จะต้องไม่อยู่ในเขตอากาศแปรปวน  เช่น  ในเขตพายุหมุน  อากาศมักจะเปลี่ยนแปลงเสมอ  เขตที่อากาศร้อนเกินไป  หนาวเกินไป  หรือแห้งแล้งเกินไป  จะมีคนเข้าไปอาศัยอยู่น้อย  เช่น  ในบริเวณอาร์กติก  บริเวณทะเลทราย  ป่าดิบอินเดีย  อเมริกากลาง  และบราซิล เป็นต้น
              ดังนั้นปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์  จึงเป็นปัจจัยสำคัญโดยตรงปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์อารยธรรมของมนุษย์ขึ้น

ปัจจัยที่ 2 ระบบการเมืองการปกครอง
               มนุษย์เมื่อมีการตั้งบ้านเมืองเป็นหลักแหล่งแล้ว  ความจำเป็นในการสร้างอารยธรรมต่อมาคือ  จะต้องมีการจัดการชุมชนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น  เช่น  การจัดการระบบชลประทาน  การใช้ที่ดิน  ทำให้ต้องมีหัวหน้าในการออกกฏข้อบังคับ  และระบบการปกครองเพื่อให้เกิดความสงบสุขและความปลอดภัยในสังคม  การปกครองนี้ได้เริ่มขึ้นภายในครอบครัวก่อนแล้วขยายวงกว้างออกไปเป็นครอบครัวต่างๆ  จนกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่  เนื่องจากสังคมที่ซับซ้อนขึ้นทำให้ต้องมีการพัฒนาการปกครองตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมจนปัจจุบัน
              มนุษย์ได้พัฒนาระบบการปกครองของแต่ละยุคแต่ละสมัยแตกต่างกันตามสภาพสังคมในแต่ละสมัย  เช่น  มีการพัฒนาจากหัวหน้าครอบครัวเป็นการปกครองระบบพ่อเมือง (Patriachy) ระบบราชาธิปไตย (Monarchy)  และระบบประชาธิปไตย (Democracy)  และในบางสังคมก็เกิดระบบคณาธิปไตย (Oligarchy)  ระบบทรราชย์ (Tyrany)  ระบบเผด็จการ  (Dictatorship) หรือเกิดลัทธิการเมือง  เช่น ลัทธิฟาสซิสม์ (Fascism)  ลัทธินาชี (Nazism) และลัทธิคอมมิวนิสต์ (Communism) เป็นต้น

ปัจจัยที่ 3 ความเจริญทางเทคโนโลยี
               ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่มีผลต่อการสร้างอารยธรรมของมนุษย์  โดยในแต่ละยุคแต่ละสมัยมักจะมีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีก้เท่ากับว่า  เป็นการเปลี่ยนแปลงอารยธรรมในแต่ละยุคแต่ละสมัยด้วยเช่นกัน
              เทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคับที่ก่อให้เกิดอารยธรรมของมนุษย์  กล่าวคือ  ในยุคก่อนประวัติศาสตร์  เทคโนโลยีของมนุษย์ยังคงเป็นแบบง่ายๆ   แต่ภายหลังเมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆขึ้น  ซึ่งเทคโนโลยีแบบใหม่นี้มักเกิดขึ้นจากที่มนุษย์พยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติ  เพื่อสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสมบุรณ์  ดังนั้นมนุษย์จึงพยายามขวนขวายหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติหรือบางแห่งต้องหาวิธีเอาชนะธรรมชาติในทุกด้าน  ความพยายามทั้งสองประการนี้ก่อให้เกิดการแสวงหาความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ  เชน  เทคโนโลยีในด้านเกษตร  ซึ่งในบางท้องที่เกิดน้ำท่วม  เกิดความแห้งแล้ง  ก็ต้องมีการพัฒนาระบบชลประทานเพื่อประโยชน์ในการเกษตรและการประมง  บางท้องที่ต้องเรียนรู้วิธีการนำเหล็กมาใช้เพื่อทำคันไถและทำอาวุธ  หรือตัดไม้เพื่อบุกเบิกพื้นที่ทางการเกษตรหรือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร  นอกจากนี้ในท้องที่ที่เป็นทะเลทราย  มนุษย์ยังสามารถปรับปรุงที่ดิน  ให้สามารถใช้ประโยชน์ในการเกษตรได้  ส่วนด้านการประมง  แรกเริ่มมนุษย์ใช้กระดูกสัตว์ทำคันเบ็ด  ต่อมาก้เริ่มพัฒนาเครื่องมือจับสัตว์  เช่น  แห อวน และเรือ  เป็นต้น  ขณะที่เทคโนโลยีทางด้านขนส่งและการคมนาคม   เริ่มแรกมนุษย์รู้จักการใช้ม้าเป็นพาหนะวึ่งนับได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีได้อย่างชัดเจน  และทำให้เมืองในอดีตได้ขยายตัวและมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมากตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี  นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการก่อสร้าง  เทคโนโลยีด้านอาวุธ  เทคโนโลยีด้านเครื่องมือเครื่องใช้  เทคโนโลยีสาธารณสุข ฯลฯ
                จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีที่ได้พัฒนาขึ้นในยุคต่างๆ  เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการความเจริญและการสร้างสรรค์อารยธรรมของมนุษย์

ปัจจัยที่ 4 การเจริญเติบโตของสังคัมและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม
                มนุษย์เมื่อมีการรวมตัวเป็นชุมชน  โดยการรวมตัวขั้นแรกอาจเป็นเพียงหมู่บ้านหรือเมืองขนาดเล็ก  ภายหลังจึงขยายเป็นชุมชนขนาดใหญ่  วึ่งการรวมตัวกันของมนุษย์นั้นนอกจากเพื่อให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แล้ว  ยังทำให้มนุษย์สามารถประดิษฐ์สิ่งต่างๆขั้นได้อีกด้วย  ที่สำคัญเมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักการใช้ไฟ  ทำให้มนุษย์เริ่มมีเวลาเพิ่มมากขึ้น  กล่าวคือก่อนที่จะรู้จักการใช้ไฟมนุษย์จะทำงานเฉพาะเวลากลางวัน  พอกลางคืนก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเนื่องจากไม่มีแสงสว่าง  แต่เมื่อมนุษย์รู้จักการใช้ไฟทำให้มนุษย์สามารถทำงานเพิ่มขึ้นในตอนกลางคืน  โดยที่กลางวันยังคงทำไร่ ทำนาและเลี้ยงสัตว์  พอกลางคืนก้เริ่มมีงานประดิษฐ์งานฝีมือต่างๆ เช่นทอผ้า  ทำเครื่องมือเครื่องใช้  และที่สำคัญทำให้เกิดการพัฒนาความคิดต่างๆขึ้น
               การรวมตัวกันของมนุษย์ยังก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางสังคม  กล่าวคือช่วยทำให้มนุษย์เกิดความรับผิดชอบร่วมกันในด้านสาธารณประโยชน์  เช่น  การช่วยกันดูแลระบบชลประทาน  การช่วยป้องกันตนเอง  ก่อให้เกิดการแบ่งแยกแรงงานและเกิดกลุ่มอาชีพเฉพาะขึ้นในสังคม  เช่น  ชาวนา  ชาวไร่  ช่างประเภทต่างๆ  พ่อค้า  เจ้าพนักงาน  นักรบ  นักบวช  ตลอดจนทาสและกรรมการ ฯลฯ  การที่มนุษย์เริ่มมีการรวมตัวเป็นสังคมในลักษณะนี้จำเป็นต้องมีการจัดระเบียบขึ้นในกลุ่มเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อมนุษย์ที่อยู่รวมกันภายในกลุ่มของตน  นอกจากนี้ยังมีการออกกฏหมายเพื่อตัดสินคดี  มีการเลือกผู้นำ  มีการสร้างสถาบันต่างๆ ขึ้นมาเพื่อสะดวกในการปกครอง  มีการวางแผนจัดการในเรื่องต่างๆเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความเจริญขึ้นในสังคมอารยธรรมของมนุษย์

ปัจจัยที่ 5 การชยายตัวทางเศรษฐกิจ
               การขยายตัวทางเศรษฐกิจเกิดจากความต้องการปัจจัยสี่ของมนุษย์  ซึ่งก้คืออาหาร  เครื่องนุ่งห่ม  ที่อยู่อาศัย  และยารักษาโรค  ความจำเป็นเหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้มนุษย์ต้องขวนขวายแสวงหาปัจจัยเหล่านี้จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่  มนุษย์ต้องต่อสู้กับธรรมชาติ  ต้องฝึกสัตว์ป่าให้เชื่องเพื่อนำมาใช้งาน  ต้องปลูกพืชไว้เพื่อบริโภค  โดยมนุษย์ต้องต่อสู้กับสิ่งต่างๆ  ก็เพื่อสนองความต้องการที่เรียกว่าปัจจัยสี่นั่นเอง  แต่ต่อมาเมื่อความต้องการภายในครอบครัวขยายขึ้น  ทำให้มนุษย์ต้องแสวงหาสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย  กล่าวคือ  เมื่อมนุษย์พ้นสภาพของการล่าสัตว์  เริ่มตั้งถิ่นฐานอยู่กับที่  เริ่มมีประชากรมาอาศัยอยู่รวมกันมากขึ้น  มีการเปลี่ยนแปลงแรงงานที่ชัดเจน  สิ่งเหล่านี้ทำให้ความต้องการปัจจัยสี่ของมนุษย์มีเพิ่มมากขึ้น  ทำให้มนุษย์มีความจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนแาหารและผลิตภัณฑ์ต่างๆ  ตลอดจนการจัดให้มีบริการในรูปแบบต่างๆ  ซึ่งทำให้เกิดศูนย์กลางเพื่อดำเนินกิจกรรมดังกล่าว  เรียกว่า "ตลาด" เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งของ  และเมื่อการแลกเปลี่ยนมีจำนวนมากขึ้นจึงเกิดการคิดมูลค่าของสิ่งของเป็นจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขอย่างมีระบบขึ้นมา  โดยการซื้อขายแลกเปลี่ยนนี้ทำให้การเมืองในเวลานี้มีบทบาทในฐานะเป้นศูนย์กลางที่ขยายตัวไปพร้อมๆกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
              นอกจากนี้เมืองต่างๆที่เกิดขึ้นใหม่ตามเส้นทางการค้าหรือชุมชนทางการค้ายังได้กลายเป็นแหล่งอารยธรรมแห่งใหม่ เช่น  เมืองเวนิช  เจนัว  ปิซา เป็นต้น  และจากการที่เมืองดังกล่าวเป็นเมืองที่มีการค้าขายข้ามแดนในระดับภูมิภาคนั้นได้นำมาซึ่งการติดต่อค้าขายระหว่างแปล่งต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันทางอารยธรรม  จึงเป็นเหตุให้อารยธรรมจากดินแดนต่างๆ  มีโอกาสในการแลกเปลี่ยนหรือแผ่ขยายอารยธรรมตนไปยังดินแดนอื่นๆ

ปัจจัยที่ 6 ความเชื่่อและศาสนา
                ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์มีหลายด้าน  นอกจากความต้องการภายนอกในด้านต่างๆ  ที่กล่าวมาแล้ว  มนุษย์ยังคงต้องการความมั่นคงทางจิตใจ  เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและอยู่รอดปลอดภัย  มนุษย์จึงจำเป็นต้องแสวงหาความผูกพันกับอำนาจเหนือธรรมชาติ  หรือสิ่งที่ปราศจากตัวตนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้  แต่เชื่อว่าสามารถปกป้องคุ้มครองตนเองได้  การแสดงออกในการแสวงหาความมั่นคงทางจิตใจนี้มีลักษณะต่างกันตั้งแต่สมัยโบราณถึงสมัยปัจจุบัน  วึ่งในช่วงเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา  มนุษย์ค้นพบว่า  ศาสนาและความเชื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางจิตใจ ดังนั้น  ศาสนาจึงเป็นผลของความต้องการทางจิตใจ  การแสดงออกซึ่งความคิด  และความเชื่อของมนุษย์
               ขณะเดียวกันมนุษย์จะมีความอ่อนแอในตนเอง  ทำให้ศาสนาและความเชื่อเป็นสิ่งที่สนองความต้องการที่มนุษย์จะขาดเสียมิได้  มนุษย์ต้องการที่พึ่ง  ต้องการเครื่องยึดเหนี่ยวเพื่อให้ชีวิตมั่นคง  เมื่อมนุษย์เห็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติก็พยายามแสวงหาเหตุผลที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เหล่านั้น เมื่อได้คำตอบที่ตนพอใจ  ก้มักจะยึดถือเชื่อมั่น  ในขั้นแรกนี้อาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคล  ต่อมาเมื่อผู้อื่นเห็นว่าดีก้นำมาปฏิบัติเป็นหลักการเดียวกันมากขึ้นจนเกิดเป็นลัทธิศาสนา  มีกฏข้อบังคับ  พิธีกรรม  เกิดประเพณีต่างๆ ขึ้นมา  เช่น  เกิดการบูชาเทพเจ้า  บทสวดสถาที่บูชาเทพเจ้า  เกิดพิธีกรรมต่างๆ  เกิดเครื่องมือเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบพิธี  และเกิดงานศิลปะที่เกี่ยวกับเทพเจ้าที่นับถือเพื่อเป็นการบูชาและแสดงความเคารพในสิ่งที่มนุษย์จิตนาการขึ้น  โดยแสดงวามรู้สึกนึกคิดของตนออกมาในลักษณะรูปธรรมต่างๆ  เช่น  ศิลปกรรม  สถาปัตยกรรม  วรรณคดี  และดนตรี  นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องยึดเหนื่ยวจิตใจของมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความกลัว

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การแบ่งยุคของอารยธรรมมนุษย์


อารยธรรมมนุษย์มีการพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง  กล่าวคือ เริ่มต้นจากสมัยที่มนุษย์มีชีวิตเร่ร่อน  หาอาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ  ต่อมาเริ่มมีการเรียนรู้การทำภาชนะถ้วยชาม  เป็นการเข้าสู่สมัยที่เริ่มลงหลักปักฐานอยู่กับที่  อาศัยอยู่ในกระท่อมที่ก่อสร้างด้วยดินอย่างหยาบๆ  ดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์  และเริ่มรู้จักการนุ่งห่มร่างกายด้วยหนังสัตว์  ต่อมาเมื่อมนุษย์เริ่มจากการนุ่งห่มร่างกายด้วยหนังสัตว์  เริ่มรู้จักการสื่อสารด้วยภาษา  ด้วยสัญญาณเสียง  เริ่มประดิษฐ์ตัวอักษร  เริ่มมีบ้านเป็นที่เป็นหลักเป็นแหล่งมั่นคง  และมีการรวมตัวกันเป้นสังคมเมือง  ในที่สุดสร้างอารยธรรมขึ้นมาได้  ซึ่งพัฒนาการของอารยธรรมมนุษย์ตั้งแต่กล่าวมานี้  สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ยุค คือ
     
           1.สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-historic Age)
                   หมายถึง  ช่วงเวลาสมัยที่มนุษย์ยังไม่รู้จักการบันทึกเรื่องราวต่างๆไว้เป็นรายลักษณ์อักษร  หรือยังไม่มีการจดบันทึกเป็น "ภาษาเขียน" ชนิดที่คนปัจจุบันอ่านหรือสามารถถอดความหมายออกมาได้  สมัยก่อนประวัติศาสตร์นี้ครอบครุมระยะเวลาตั้งแต่ช่วงที่เกิดมนุษย์ขึ้นในโลกนี้ถึงช่วงที่คนเริ่มมาการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆของตนเอง  หรือในระยะเริ่มต้นของสมัยประวัติศาสตร์นั่นเอง  โดยสามารถแบ่งสมัยก่อนประวัติศาสตร์  ออกได้เป็น 4 ยุค  คือ  หินเก่า หินกลาง หินใหม่ และยุคโลหะ  ความเจริญของมนุษย์สมัยประวัติศาสตร์  จะมีทั้งในโลกตะวันออกและโลกตะวันตก
     
           2.สมัยประวัติศาสตร์  (Historic Age)
                    หมายถึง  สมัยที่มนุษย์รู้จักการคิดค้นประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้เป็นลายลักษณ์อักษร  ซึ่งตัวอักษรที่ประดิษฐ์ขึ้นใช้นี้อาจมีลักษณะแตกต่างจากตัวอักษรที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน  แต่ตัวอักษรนี้จะต้องสามารถถอดความหมายออกมาได้  โดยการเริ่มต้นสมัยประวัติศาสตร์ในดินแดนต่างๆของโลก  จะมีวิวัฒนาการแต่กต่างกันดังนั้นการเริ่มมีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ในแต่ละแห่งจึงเกิดขึ้นไม่พร้อมกัน  ทำให้การสิ้นสุดของสมัยก่อนประวัติศาสตร์และการเริ่มต้นของวสมัยประวัติศาสตร์ในดินแดนต่างๆของโลกแตกต่างกันตามไปด้วย  โดยในช่วงเวลาที่มีการใช้โลหะ  โดยเฉพาะทองแดงและสำริดในบางท้องที่สันนิษฐานว่า  ได้มีการประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้แล้ว  และได้มีการขีดเขียนเรื่องราวบางอย่างไว้เป็นรายลักษณ์อักษร  การค้นพบวิธีการเขียนตัวอักษรยังช่วยให้เกิดประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจและการปกครอง  โดยจะช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังช่วยในการจัดระเบียบ  การสั่งงาน  และการควบคุมคนได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย  นอกจากนั้นการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ  ยังเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการสร้างเสริมอารยธรรมของคนรุ่นต่อมาอีกด้วย

ความหมายและการแบ่งยุคของอารยธรรมมนุษย์

อารยธรรมต่างๆ

ความหมายของอารยธรรม

        
            คำว่า "อารยธรรม" เป็นคำที่มีความหมายตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า "Civlization" มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน คือ Civitis หมายถึง City หรือ นคร  โดยเหตุผลที่ใช้คำนี้เนื่องจากแหล่งอารยธรรมใหญ่ๆในโลก  ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นในนครใหญ่  คำว่า "อารยธรรม"  เป็นคำที่มีความหมายหลายประการตามความเข้าใจและการตีความของแต่ละคน  แต่โดยทั่วไป  มักจะให้ความหมายของ "อารยธรรม" ว่าหมายถึง  ความเจริญงอกงามในทุกๆด้าน  ของสังคมทุกๆสังคม  ไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นสังคมใดสังคมหนึ่ง  นอกจากนี้  อารยธรรมยังมีความหมายที่หลากหลายจากแง่มุมต่างๆ  ที่น่าสนใจอีกหลายความหมายที่สำคัญ  คือ
           
            พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542      ได้ให้ความหมายของอารยธรรม ไว้ว่า  ความสงบสุขของสังคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งศีลธรรมและกฏหมาย  ความเจริญเนื่องด้วยองค์การของสังคม  เช่น  การเมือง กฏหมาย  เศษฐกิจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรม  ความเจริญด้วยขนบธรรมเนียมอันดี  ขณะที่ ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์  ปราโมช  ได้  ให้ความหมายของอารยธรรม ว่า  ความเจริญในทางวัตถุและทางจิตใจของมนุษย์  เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังวัฒนธรรมขั้นพื้นฐาน  อารยธรรมที่เป็นความเจริญทางด้านวัตถุและจิตใจนี้เกิดขึ้นในรัฐหรือประเทศ  มีสถาบันการปกครอง  สถาบันศาสนา และสถาบันอื่นๆ  ในกรณีมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ยังไม่มีสถาบันเหล่านี้อย่างเป็นระบบ  จึงไม่มีอารยธรรม 
           
             ส่วนนักวิชาการต่างชาติได้ให้ความหมายของคำว่า "อารยธรรม"  ไว้อย่างหลากหลาย  เช่น เอ็ดเวอร์ดแมค  คัดเบอร์นส์  (Edward Mc. Cudberns)  ได้อธิบายความหมายไว้ว่า  เป็นวัฒนธรรมขั้นสูง  คือ   วัฒนธรรมที่จะเรียกว่าเป็นอารยธรรมได้ก็ต่อเมื่อวัฒนธรรมนั้นได้มีการพัฒนาให้เสริญถึงขั้นสูงสุดแล้ว  หรือกล่าวง่ายๆคือ  สังคมนั้นต้องมีการใช้อักษรบันทึกเรื่องราวต่างๆแล้ว  นอกจากนี้  วัฒนธรรมในด้านอื่นๆของสังคมก็ต้องได้รับการปรับปรุงให้สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพอีกด้วย  เช่น  ศิลปวิทยาการ  การเมือง  การปกครอง  สถาบันทางสังคม  และทางเศรษฐกิจ  เป็นต้น  ส่วน อาร์โนลด์ เจ ทอยน์บี (Arnold J. Taynbee)  ได้อธิบายไว้ว่า  อารยธรรม คือวัฬนธรรมดั้งเดิมที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ  สังคมดั้งเดิมนั้นมีอายุสั้นกว่าวัฒนธรรม  และมักเกิดขึ้นในบริเวณจำกัด  และมีส่วนเกี่ยวข้องกับมนุษย์เป็นจำนวนน้อยกว่าอารยธรรม  แต่ก็มีความก้าวหน้าทางศิลปะและวิทยาศาสตร์  ส่วนสถาบันการเมือง  เศรษฐกิจและสังคมก็ได้รับการพัฒนามาอย่างดีพอที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ  ที่เกิดขึ้นในสังคมนั้นได้


            ดังนั้น อารยธรรม จึงหมายถึง  ความเจริญในด้านต่างๆ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และเป็นความเจริญที่สูงกว่าวัฒนธรรมขั้นพื้นฐาน

ขับเคลื่อนโดย Blogger.