ชนชาติสุเมเรียน (Sumerian) เป็นชนชาติแรกที่สร้างความเจริญขึ้นในบริเวณเมโสโปเตเมีย ซึ่งเชื่อกันว่า ชาวสุเมเรี่ยนได้อพยพมาจากที่ราบสูงอิหร่าน และได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณตอนล่างสุดของลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสตรงส่วนที่ติดกับอ่าวเปอร์เซีย โดยเรียกบริเวณนี้ว่า ซูเมอร์ (Sumer) นักประวัติศาสตร์ถือว่า ซูเมอร์ คือ แหล่งกำเนิดของนครรัฐ (city-state) แห่งแรกของโลก
การตั้งถิ้นฐานเริ่มแรกของชาวสุเมเรียนนั้นเป็นเพียงหมูบ้านกสิกรรม ต่อมาเมื่อรวมกันและได้มีการสร้างชลประทานขึ้น ทำให้หมูบ้านได้รวมเป็นศูนย์กลางการปกครองในลักษณะของเมือง เมืองที่สำคัญได้แก่ อิเรค (Erech) อิริดู (Eridu) เออร์ (Ur) ลาร์ซา (Larsa) ลากาซ (Lagash) อุมมา (Umma) นิปเปอร์ (Nippur) คิช (Kish) เป็นต้น เมืองต่างๆเหล่านี้มีฐานะเป็นศูนย์กลางของการปกครองที่ไม่ขึ้นต่อกันที่เรียกว่า "นครรัฐ" โดยแต่ละนครรัฐดูแลความเป็นอยู่ของคนในนครรัฐของตย
ความเจริญของอารยธรรมสุเมเรียน
1.การปกครองในรูปแบบของนครรัฐ ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสุเมเรียนเริ่มแรกจากชีวิตแบบหมูบ้านเล็กๆ ต่อมาจึงเปลี่ยนมาเป็นชีวิตในเมืองที่มีการปกครองในรูปแบบนครรัฐ ระยะแรก ชาวสุเมเรียนมีพระเป็นผู้ดูแลและควบคุมกิจการต่างๆในนครรัฐ พระจะมีอำนาจในการปกครองแผ่นดินและเป็นประมุขสูงสุด เรียกว่า ปะเตชี (Patesi) ทำการปกครองในนามของพระเป็นเจ้า ทำหน้าที่ควบคุมตั้งแต่การเก็บภาษี ได้แก่ ข้าวปลาอาหาร ตลอดจนควบคุมการดูแลเกี่ยวกับการชลประทานและการทำไล่ไถนา ต่อมาเมื่อเกิดการแข่งขันและรบพุ่งระหว่างนครรัฐ อำนาจการปกครองจึงมาอยู่ที่นักรบหรือกษัตริย์แทน กษัตริย์จะมีตำแหน่งเรียกว่า ลูกาล (Lugal) ซึ่งเป็นผู้เข้มแข็งสามารถสู้รบป้องกันนครรัฐ และทำหน้าที่ควบคุมดูแลกิจกรรมต่างๆแทนพระ การปกครองแบบนครรัฐของชาวสุเมเรียนดังกล่าวนี้ นับได้ว่าเป็นนครรัฐแห่งแรกของโลก และยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตั้งถิ่นฐานของอารยธรรมบาบิโลเนีย อารยธรรมอัสซีเรียน อารยธรรมอิหร่าน รวมทั้งอารยธรรมใกล้เคียงอย่างอียิปต์ด้วย
3,500 ปี ก่อนคริสตกาล พวกสุเมเรียนได้สร้างอารยธรรมของตน เมืองที่ก่อตัวขึ้นในเขตซูเมอร์ระยะนี้ได้แก่เมืองออร์ เมืองริเรค เมืองอิริดู เมืองลากาซ และเมืองนิปเปอร์ เมืองเหล่านี้เป็นศูนย์กลางของระบบชลประทาน โดยก่อตัวขึ้นได้สำเร็จเพราะประสิทธิภาพของระบบการจัดการน้ำ เช่น การเก็บกักและการระบายน้ำ เมืองมีฐานะเป็นอิสระและเป็นศูนย์กลางของการปกครองที่ไม่ขึ้นตรงกันเรียกว่า นครรัฐ
2.ด้านชลประทาน ชาวสุเมเรียนเป็นชนชาติแรกที่ได้สร้างระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพสูง ทั้งนี้เนื่องจากถิ่นฐานที่ชาวสุเมเรียนรุ่นแรกได้สร้างล้านเรือนนั้น ทั่วทั้งแผ่นดินปกคลุมด้วยบริเวณพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ อันเกิดจากการทับถมของโคลนตมที่แม่น้ำพัดมา พท้นดินดังกล่าวเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชผลทางเกษตรแต่ที่ยากลำบากคือ ปัญหาเรื่องน้ำ เพราะบริเวณเมโสโปเตเมียเกือบจะเรียกได้ว่าฝนไม่ตกเลย ทำให้พื้นที่ที่อยู่ห่างจากแม่น้ำ เป็นที่แห้งแล้งไม่เหมาะสมแก่การทำเพาะปลูก ในขณะเดียวกันน้ำจะเอ่อขึ้นท่วมฝั่งทุกปี ทำให้บริเวณที่อยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำชุ่มชื้น แฉะ น้ำขังเป็นเหมือนบึง ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าพื้นที่บางแห่งชื้นแฉะเกินไป บางแห่งแห้งแล้งเกินไป ซึ่งชาวสุเมเรียนที่เข้ามาในระยะแรกได้เห็นปัญหาดังกล่าว เมื่อพวกเขาได้ตัดสินใจตั้งรกรากในบริเวณนี้ก็จะต้องหาทางเอาชนะธรรมชาติ ด้วยการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติเพื่อให้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตของตนมากที่สุด กล่าวคือในขั้นแรกชาวสุเมเรียนได้สร้างนบใหญ่ขึ้นสองฝากฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส สร้างคลองระบายน้ำ เขื่อนกั้นน้ำ ประตูน้ำ และอ่างเก็บน้ำ เพื่อระบายน้ำออกไปให้ได้ไกลที่สุด และเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ยามที่ต้องการ วิธีการควบคุมน้ำและจัดระเบียบน้ำดังกล่าวคือระบบชลประทานครั้งแรกของโลก ที่ชาวสุเมเรียนได้เป็นกลุ่มแรกที่ใช้งานระบบนี้
3.ด้านการเพาะปลูก อารยธรรมสุเมเรียนมีความก้าวหน้ามาก มีการใช้คันไถเทียมด้วยวัว ทำให้สามารถหว่านไถได้เป็นวริเวณกว้างกว่าเดิม ลำพังแต่การใช้จอบหรือเสียม การเพาะปลูกเหมือนกับการทำสวนครัวในบ้าน การประดิษฐ์คันไถเทียมด้วยวัวมีความสำคัญในแง่ที่ว่ามนุษย์เริ่มรู้จักใช้และควบคุมที่มาของพลังงาน คือพลังงานของสัตว์นอกเหนือไปจากพลังงานที่มาจากตัวของมนุษย์เอง นอกจากนี้ชาวสุเมเรียนยังประดิษฐ์เครื่องมือทางเกษตรดั้งเดิม เช่น เครื่องหยอดเมล็ดพืชซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่ในบางแห่งของโลก เครื่องหยอดเมล็ดพืชทำงานโดยกรุยพื้นดินให้เป็นร่องก่อน ต่อจากนั้นค่อยๆ หยอดเมล็ดพืชลงในร่องโดยผ่านทางกรวยเล็กๆ เมื่อเมล็ดพืชลงไปอยู่ในดินแล้ว คนบังคับเครื่องมือจะเดินย่ำกลบเป็นอันเสร็จกรรมวิธีหยอดเมล็ด ชาวสุเมเรียนนอกจากจะประสบความสำเร็จในการเพาะปลูกแล้ว หลักฐานทางโบราณคดียังบ่งชี้ว่าพวกสุเมเรียนนิยมเลี้ยงสัตว์ โดยมีการทำนมเนย เนย และผ้าขนสัตว์เป็นต้น
4.การเขียนตัวหนังสือ อารยธรรมสุเมเรียนเป็นชนชาติแรกในดินแดนเมโสโปเตเมียที่รู้จักการเขียนหนังสือ การเขียนตัวหนังสือของชาวสุเมเรียนจะใช้ไม้เสี้ยนปลายให้แหลมหรือใช้กระดูทำปลายให้มีลักษณะคล้ายรูปลิ่มกดลงบนแผ่นดินเหนียวที่ยังอ่อนอยู่ทำให้เกิดเป็นรอย แล้วนำไปตากแดดให้แห้งหรือเผาไฟตัวอักษรชนิดนี้เรียกว่าตัวอักษรคูนิฟอร์ม (Cuneiform) หรือตัวอักษรรูปลิ่ม และใช้ตัวอักษรนี้เขียนข้อความต่างๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเขียนตัวอักษรของกรีกและโรมันในสมัยต่อมา
5.วรรณกรรม ด้วยความสำเร็จในระบบการเขียนทำให้ชาวสุเมเรียนสามารถสร้างวรรณกรรมที่สำคัญเรื่องแรกของโลก วึ่งรู้จักอย่างกว้างขวางและมีขนาดยาวที่ชื่อว่า มหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamehsepic) เขียนบนแผ่นดินเผาขนาดใหญ่ 12 แผ่น รวมด้วยกันทั้งสิ้น 3000 บรรทัด
6.ด้านคณิตศาสตร์ ชาวสุเมเรียนเป็นพวกแรกที่คิดค้นวิธีการคิดเลข ทั้งการลบ การบวก และการคูณ ชาวสุเมเรียนนิยมใช้หลัก 60 และหลักนี้เองถูกนำมาใช้ในเรื่องการนับเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งการแบ่งวงกลมออกเป็น 360 องศา (6 x 60) ด้วย
7.การสร้างระบบชั่งตวงวัดและปฏิทิน ชาวสุเมเรียนรู้จักการใช้ระบบการชั่ง ตวง วัด เป็นอย่างดี มาตราชั่ง ตวง วัด ของชาวสุเมเรียนแบ่งเป็น เชคเคิล (shekel) มีน่า (Mina) และทาเลน (talent) โดยใช้หลัก 60 คือ 60 เชคเคิล เป็น 1 มีน่า , 60 มีน่า เป็น 1 ทาเลน สำหรับการสร้างปฏิทิน พระชาวสุเมเรียนได้คิดค้นหลักใหญ่ของปฏิทินขึ้นเป็นครั้งแรก ทั้งนี้โดยอาศัยการเฝ้าสังเกตการโคจรของดวงจันทร์ ปฏิทินของชาวสุเมเรียนเป็นปฏิทินแบบจันทรคติ ปีหนึ่งมี 12 เดือน เดือนหนึ่งมี 29 1/2 วัน ปีของชาวสุเมเรียนจึงมีเพียง 354 วัน วึ่งคลาดเคลื่อนกับปีตามแบบสุริยคติซึ่งมี 365 1/4 วัน เดือนของชาวสุเมเรียนแบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 7 - 8 วัน วันหนึ่งแบ่งออกเป็นกลางวัน 6 ชั่วโมง และกลางคืน 6 ชั่วโมง (1 ชั่วโมงเทียบเท่า 2 ชั่วโมงในปัจจุบัน)
8.ด้านสถาปัตยกรรม ชาวสุเมเรียนได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มการใช้อิฐในการก่อสร้างอย่างกว้างขวาง โดยมีการทำอิฐขึ้นจากดินเหนียว วึ่งมีอยู่มากมายโดยการใช้แทนหินวึ่งเป็นของหายาก อิฐของสุเมเรียนมี 2 ประเภท คือ ประเภทตากแห้ง และประเภทอบความร้อนหรือเผาไฟชนิดแรกจะไม่ทนความชื้น ใช้ในการก่อสร้างอาคารส่วนที่ไม่กระทบต่อความชื้นแฉะ อิฐชนิดอบความร้อนหรือเผาจะทนความชื้นได้ดี ใช้ก่อส่วนล่างของอาคาร เช่น ยกพื้นฐานรากและกำแพงเป็นต้น การพัฒนาอิฐจนมีคุณภาพดี ทำให้ชาวสุเมเรียนได้สร้างนครรัฐของตนขึ้น โดยสร้างกำแพงอิฐขึ้นล้อมรอบบริเวณที่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของนครรัฐ ได้แก่ บริเวณที่เป็นวัดหรือที่ศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่ประทับของพระเป็นเจ้า ตรงมุมด้านหนึ่งของบริเวณอันศักดิ์สิทธิ์มีสิ่งก่อสร้างที่มีรูปร่างคล้ายๆ พีระมิดของอียิปต์ เรียกว่า ซิกกูแรต (Ziggurat) หรือ "หอคอยระฟ้า" สร้างเป็นหอสูง ขนาดใหญ่ ลดหลั่นเป็น 3 ระดับ ยอดบนสุดเป็นวิหารเทพเจ้าสูงสุดประจำนครรัฐ เบื้องล่างถัดจาก "หอคอยระฟ้า" ลงมาเป็นที่ตั้งของวัดวาอาราม พระราชวังของกษัตริย์ สุสานหลวง ที่ทำการตามความนึกคิดของพวกสุเมเรียน ชาวสุเมเรียนบูชาเทพเจ้าหลายองค์ และแต่ละนครรัญจะมีพระเป็นเจ้า ผู้เป็นองค์อุปถัมภ์นครรัฐนั้น โดยเฉพาะประทับอยู่ ณ วัดใหญ่ที่เรียกว่า ซิกกูแรต ประชาชนมีหน้าที่ดุแลทำนุบำรุงวัดในรูปของภาษีหรือเครื่องพลีซึ่งนำมาถวายวัดผ่านทางพระหรือนักบวชผู้มีหน้าที่ดูแล
2.ด้านชลประทาน ชาวสุเมเรียนเป็นชนชาติแรกที่ได้สร้างระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพสูง ทั้งนี้เนื่องจากถิ่นฐานที่ชาวสุเมเรียนรุ่นแรกได้สร้างล้านเรือนนั้น ทั่วทั้งแผ่นดินปกคลุมด้วยบริเวณพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ อันเกิดจากการทับถมของโคลนตมที่แม่น้ำพัดมา พท้นดินดังกล่าวเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชผลทางเกษตรแต่ที่ยากลำบากคือ ปัญหาเรื่องน้ำ เพราะบริเวณเมโสโปเตเมียเกือบจะเรียกได้ว่าฝนไม่ตกเลย ทำให้พื้นที่ที่อยู่ห่างจากแม่น้ำ เป็นที่แห้งแล้งไม่เหมาะสมแก่การทำเพาะปลูก ในขณะเดียวกันน้ำจะเอ่อขึ้นท่วมฝั่งทุกปี ทำให้บริเวณที่อยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำชุ่มชื้น แฉะ น้ำขังเป็นเหมือนบึง ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าพื้นที่บางแห่งชื้นแฉะเกินไป บางแห่งแห้งแล้งเกินไป ซึ่งชาวสุเมเรียนที่เข้ามาในระยะแรกได้เห็นปัญหาดังกล่าว เมื่อพวกเขาได้ตัดสินใจตั้งรกรากในบริเวณนี้ก็จะต้องหาทางเอาชนะธรรมชาติ ด้วยการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติเพื่อให้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตของตนมากที่สุด กล่าวคือในขั้นแรกชาวสุเมเรียนได้สร้างนบใหญ่ขึ้นสองฝากฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส สร้างคลองระบายน้ำ เขื่อนกั้นน้ำ ประตูน้ำ และอ่างเก็บน้ำ เพื่อระบายน้ำออกไปให้ได้ไกลที่สุด และเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ยามที่ต้องการ วิธีการควบคุมน้ำและจัดระเบียบน้ำดังกล่าวคือระบบชลประทานครั้งแรกของโลก ที่ชาวสุเมเรียนได้เป็นกลุ่มแรกที่ใช้งานระบบนี้
3.ด้านการเพาะปลูก อารยธรรมสุเมเรียนมีความก้าวหน้ามาก มีการใช้คันไถเทียมด้วยวัว ทำให้สามารถหว่านไถได้เป็นวริเวณกว้างกว่าเดิม ลำพังแต่การใช้จอบหรือเสียม การเพาะปลูกเหมือนกับการทำสวนครัวในบ้าน การประดิษฐ์คันไถเทียมด้วยวัวมีความสำคัญในแง่ที่ว่ามนุษย์เริ่มรู้จักใช้และควบคุมที่มาของพลังงาน คือพลังงานของสัตว์นอกเหนือไปจากพลังงานที่มาจากตัวของมนุษย์เอง นอกจากนี้ชาวสุเมเรียนยังประดิษฐ์เครื่องมือทางเกษตรดั้งเดิม เช่น เครื่องหยอดเมล็ดพืชซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่ในบางแห่งของโลก เครื่องหยอดเมล็ดพืชทำงานโดยกรุยพื้นดินให้เป็นร่องก่อน ต่อจากนั้นค่อยๆ หยอดเมล็ดพืชลงในร่องโดยผ่านทางกรวยเล็กๆ เมื่อเมล็ดพืชลงไปอยู่ในดินแล้ว คนบังคับเครื่องมือจะเดินย่ำกลบเป็นอันเสร็จกรรมวิธีหยอดเมล็ด ชาวสุเมเรียนนอกจากจะประสบความสำเร็จในการเพาะปลูกแล้ว หลักฐานทางโบราณคดียังบ่งชี้ว่าพวกสุเมเรียนนิยมเลี้ยงสัตว์ โดยมีการทำนมเนย เนย และผ้าขนสัตว์เป็นต้น
4.การเขียนตัวหนังสือ อารยธรรมสุเมเรียนเป็นชนชาติแรกในดินแดนเมโสโปเตเมียที่รู้จักการเขียนหนังสือ การเขียนตัวหนังสือของชาวสุเมเรียนจะใช้ไม้เสี้ยนปลายให้แหลมหรือใช้กระดูทำปลายให้มีลักษณะคล้ายรูปลิ่มกดลงบนแผ่นดินเหนียวที่ยังอ่อนอยู่ทำให้เกิดเป็นรอย แล้วนำไปตากแดดให้แห้งหรือเผาไฟตัวอักษรชนิดนี้เรียกว่าตัวอักษรคูนิฟอร์ม (Cuneiform) หรือตัวอักษรรูปลิ่ม และใช้ตัวอักษรนี้เขียนข้อความต่างๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเขียนตัวอักษรของกรีกและโรมันในสมัยต่อมา
5.วรรณกรรม ด้วยความสำเร็จในระบบการเขียนทำให้ชาวสุเมเรียนสามารถสร้างวรรณกรรมที่สำคัญเรื่องแรกของโลก วึ่งรู้จักอย่างกว้างขวางและมีขนาดยาวที่ชื่อว่า มหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamehsepic) เขียนบนแผ่นดินเผาขนาดใหญ่ 12 แผ่น รวมด้วยกันทั้งสิ้น 3000 บรรทัด
6.ด้านคณิตศาสตร์ ชาวสุเมเรียนเป็นพวกแรกที่คิดค้นวิธีการคิดเลข ทั้งการลบ การบวก และการคูณ ชาวสุเมเรียนนิยมใช้หลัก 60 และหลักนี้เองถูกนำมาใช้ในเรื่องการนับเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งการแบ่งวงกลมออกเป็น 360 องศา (6 x 60) ด้วย
7.การสร้างระบบชั่งตวงวัดและปฏิทิน ชาวสุเมเรียนรู้จักการใช้ระบบการชั่ง ตวง วัด เป็นอย่างดี มาตราชั่ง ตวง วัด ของชาวสุเมเรียนแบ่งเป็น เชคเคิล (shekel) มีน่า (Mina) และทาเลน (talent) โดยใช้หลัก 60 คือ 60 เชคเคิล เป็น 1 มีน่า , 60 มีน่า เป็น 1 ทาเลน สำหรับการสร้างปฏิทิน พระชาวสุเมเรียนได้คิดค้นหลักใหญ่ของปฏิทินขึ้นเป็นครั้งแรก ทั้งนี้โดยอาศัยการเฝ้าสังเกตการโคจรของดวงจันทร์ ปฏิทินของชาวสุเมเรียนเป็นปฏิทินแบบจันทรคติ ปีหนึ่งมี 12 เดือน เดือนหนึ่งมี 29 1/2 วัน ปีของชาวสุเมเรียนจึงมีเพียง 354 วัน วึ่งคลาดเคลื่อนกับปีตามแบบสุริยคติซึ่งมี 365 1/4 วัน เดือนของชาวสุเมเรียนแบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 7 - 8 วัน วันหนึ่งแบ่งออกเป็นกลางวัน 6 ชั่วโมง และกลางคืน 6 ชั่วโมง (1 ชั่วโมงเทียบเท่า 2 ชั่วโมงในปัจจุบัน)
ซิกกูแรต สมัยอาะยธรรมมุเมเรียน |
8.ด้านสถาปัตยกรรม ชาวสุเมเรียนได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มการใช้อิฐในการก่อสร้างอย่างกว้างขวาง โดยมีการทำอิฐขึ้นจากดินเหนียว วึ่งมีอยู่มากมายโดยการใช้แทนหินวึ่งเป็นของหายาก อิฐของสุเมเรียนมี 2 ประเภท คือ ประเภทตากแห้ง และประเภทอบความร้อนหรือเผาไฟชนิดแรกจะไม่ทนความชื้น ใช้ในการก่อสร้างอาคารส่วนที่ไม่กระทบต่อความชื้นแฉะ อิฐชนิดอบความร้อนหรือเผาจะทนความชื้นได้ดี ใช้ก่อส่วนล่างของอาคาร เช่น ยกพื้นฐานรากและกำแพงเป็นต้น การพัฒนาอิฐจนมีคุณภาพดี ทำให้ชาวสุเมเรียนได้สร้างนครรัฐของตนขึ้น โดยสร้างกำแพงอิฐขึ้นล้อมรอบบริเวณที่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของนครรัฐ ได้แก่ บริเวณที่เป็นวัดหรือที่ศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่ประทับของพระเป็นเจ้า ตรงมุมด้านหนึ่งของบริเวณอันศักดิ์สิทธิ์มีสิ่งก่อสร้างที่มีรูปร่างคล้ายๆ พีระมิดของอียิปต์ เรียกว่า ซิกกูแรต (Ziggurat) หรือ "หอคอยระฟ้า" สร้างเป็นหอสูง ขนาดใหญ่ ลดหลั่นเป็น 3 ระดับ ยอดบนสุดเป็นวิหารเทพเจ้าสูงสุดประจำนครรัฐ เบื้องล่างถัดจาก "หอคอยระฟ้า" ลงมาเป็นที่ตั้งของวัดวาอาราม พระราชวังของกษัตริย์ สุสานหลวง ที่ทำการตามความนึกคิดของพวกสุเมเรียน ชาวสุเมเรียนบูชาเทพเจ้าหลายองค์ และแต่ละนครรัญจะมีพระเป็นเจ้า ผู้เป็นองค์อุปถัมภ์นครรัฐนั้น โดยเฉพาะประทับอยู่ ณ วัดใหญ่ที่เรียกว่า ซิกกูแรต ประชาชนมีหน้าที่ดุแลทำนุบำรุงวัดในรูปของภาษีหรือเครื่องพลีซึ่งนำมาถวายวัดผ่านทางพระหรือนักบวชผู้มีหน้าที่ดูแล
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น