วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อารยธรรมสุเมเรียน


               ชนชาติสุเมเรียน  (Sumerian)  เป็นชนชาติแรกที่สร้างความเจริญขึ้นในบริเวณเมโสโปเตเมีย  ซึ่งเชื่อกันว่า  ชาวสุเมเรี่ยนได้อพยพมาจากที่ราบสูงอิหร่าน  และได้มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณตอนล่างสุดของลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติสตรงส่วนที่ติดกับอ่าวเปอร์เซีย  โดยเรียกบริเวณนี้ว่า  ซูเมอร์ (Sumer)  นักประวัติศาสตร์ถือว่า ซูเมอร์ คือ แหล่งกำเนิดของนครรัฐ (city-state) แห่งแรกของโลก  
             การตั้งถิ้นฐานเริ่มแรกของชาวสุเมเรียนนั้นเป็นเพียงหมูบ้านกสิกรรม  ต่อมาเมื่อรวมกันและได้มีการสร้างชลประทานขึ้น  ทำให้หมูบ้านได้รวมเป็นศูนย์กลางการปกครองในลักษณะของเมือง  เมืองที่สำคัญได้แก่  อิเรค (Erech) อิริดู (Eridu) เออร์  (Ur)  ลาร์ซา (Larsa)  ลากาซ (Lagash) อุมมา (Umma) นิปเปอร์ (Nippur) คิช (Kish)  เป็นต้น  เมืองต่างๆเหล่านี้มีฐานะเป็นศูนย์กลางของการปกครองที่ไม่ขึ้นต่อกันที่เรียกว่า  "นครรัฐ"  โดยแต่ละนครรัฐดูแลความเป็นอยู่ของคนในนครรัฐของตย

ความเจริญของอารยธรรมสุเมเรียน
                1.การปกครองในรูปแบบของนครรัฐ  ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสุเมเรียนเริ่มแรกจากชีวิตแบบหมูบ้านเล็กๆ  ต่อมาจึงเปลี่ยนมาเป็นชีวิตในเมืองที่มีการปกครองในรูปแบบนครรัฐ  ระยะแรก  ชาวสุเมเรียนมีพระเป็นผู้ดูแลและควบคุมกิจการต่างๆในนครรัฐ  พระจะมีอำนาจในการปกครองแผ่นดินและเป็นประมุขสูงสุด  เรียกว่า  ปะเตชี (Patesi)  ทำการปกครองในนามของพระเป็นเจ้า  ทำหน้าที่ควบคุมตั้งแต่การเก็บภาษี  ได้แก่  ข้าวปลาอาหาร  ตลอดจนควบคุมการดูแลเกี่ยวกับการชลประทานและการทำไล่ไถนา  ต่อมาเมื่อเกิดการแข่งขันและรบพุ่งระหว่างนครรัฐ  อำนาจการปกครองจึงมาอยู่ที่นักรบหรือกษัตริย์แทน  กษัตริย์จะมีตำแหน่งเรียกว่า  ลูกาล (Lugal)  ซึ่งเป็นผู้เข้มแข็งสามารถสู้รบป้องกันนครรัฐ  และทำหน้าที่ควบคุมดูแลกิจกรรมต่างๆแทนพระ   การปกครองแบบนครรัฐของชาวสุเมเรียนดังกล่าวนี้  นับได้ว่าเป็นนครรัฐแห่งแรกของโลก  และยังมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตั้งถิ่นฐานของอารยธรรมบาบิโลเนีย  อารยธรรมอัสซีเรียน อารยธรรมอิหร่าน  รวมทั้งอารยธรรมใกล้เคียงอย่างอียิปต์ด้วย
                       3,500 ปี ก่อนคริสตกาล  พวกสุเมเรียนได้สร้างอารยธรรมของตน  เมืองที่ก่อตัวขึ้นในเขตซูเมอร์ระยะนี้ได้แก่เมืองออร์  เมืองริเรค  เมืองอิริดู  เมืองลากาซ  และเมืองนิปเปอร์  เมืองเหล่านี้เป็นศูนย์กลางของระบบชลประทาน  โดยก่อตัวขึ้นได้สำเร็จเพราะประสิทธิภาพของระบบการจัดการน้ำ  เช่น  การเก็บกักและการระบายน้ำ  เมืองมีฐานะเป็นอิสระและเป็นศูนย์กลางของการปกครองที่ไม่ขึ้นตรงกันเรียกว่า  นครรัฐ


                 2.ด้านชลประทาน  ชาวสุเมเรียนเป็นชนชาติแรกที่ได้สร้างระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพสูง  ทั้งนี้เนื่องจากถิ่นฐานที่ชาวสุเมเรียนรุ่นแรกได้สร้างล้านเรือนนั้น  ทั่วทั้งแผ่นดินปกคลุมด้วยบริเวณพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์  อันเกิดจากการทับถมของโคลนตมที่แม่น้ำพัดมา  พท้นดินดังกล่าวเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชผลทางเกษตรแต่ที่ยากลำบากคือ  ปัญหาเรื่องน้ำ  เพราะบริเวณเมโสโปเตเมียเกือบจะเรียกได้ว่าฝนไม่ตกเลย  ทำให้พื้นที่ที่อยู่ห่างจากแม่น้ำ  เป็นที่แห้งแล้งไม่เหมาะสมแก่การทำเพาะปลูก  ในขณะเดียวกันน้ำจะเอ่อขึ้นท่วมฝั่งทุกปี  ทำให้บริเวณที่อยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำชุ่มชื้น  แฉะ  น้ำขังเป็นเหมือนบึง  ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าพื้นที่บางแห่งชื้นแฉะเกินไป  บางแห่งแห้งแล้งเกินไป  ซึ่งชาวสุเมเรียนที่เข้ามาในระยะแรกได้เห็นปัญหาดังกล่าว  เมื่อพวกเขาได้ตัดสินใจตั้งรกรากในบริเวณนี้ก็จะต้องหาทางเอาชนะธรรมชาติ  ด้วยการเปลี่ยนแปลงธรรมชาติเพื่อให้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตของตนมากที่สุด   กล่าวคือในขั้นแรกชาวสุเมเรียนได้สร้างนบใหญ่ขึ้นสองฝากฝั่งแม่น้ำยูเฟรติส  สร้างคลองระบายน้ำ  เขื่อนกั้นน้ำ  ประตูน้ำ  และอ่างเก็บน้ำ  เพื่อระบายน้ำออกไปให้ได้ไกลที่สุด  และเพื่อเก็บกักน้ำไว้ใช้ยามที่ต้องการ  วิธีการควบคุมน้ำและจัดระเบียบน้ำดังกล่าวคือระบบชลประทานครั้งแรกของโลก  ที่ชาวสุเมเรียนได้เป็นกลุ่มแรกที่ใช้งานระบบนี้
                  3.ด้านการเพาะปลูก   อารยธรรมสุเมเรียนมีความก้าวหน้ามาก  มีการใช้คันไถเทียมด้วยวัว    ทำให้สามารถหว่านไถได้เป็นวริเวณกว้างกว่าเดิม  ลำพังแต่การใช้จอบหรือเสียม  การเพาะปลูกเหมือนกับการทำสวนครัวในบ้าน  การประดิษฐ์คันไถเทียมด้วยวัวมีความสำคัญในแง่ที่ว่ามนุษย์เริ่มรู้จักใช้และควบคุมที่มาของพลังงาน  คือพลังงานของสัตว์นอกเหนือไปจากพลังงานที่มาจากตัวของมนุษย์เอง  นอกจากนี้ชาวสุเมเรียนยังประดิษฐ์เครื่องมือทางเกษตรดั้งเดิม  เช่น  เครื่องหยอดเมล็ดพืชซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่ในบางแห่งของโลก  เครื่องหยอดเมล็ดพืชทำงานโดยกรุยพื้นดินให้เป็นร่องก่อน  ต่อจากนั้นค่อยๆ หยอดเมล็ดพืชลงในร่องโดยผ่านทางกรวยเล็กๆ  เมื่อเมล็ดพืชลงไปอยู่ในดินแล้ว  คนบังคับเครื่องมือจะเดินย่ำกลบเป็นอันเสร็จกรรมวิธีหยอดเมล็ด  ชาวสุเมเรียนนอกจากจะประสบความสำเร็จในการเพาะปลูกแล้ว  หลักฐานทางโบราณคดียังบ่งชี้ว่าพวกสุเมเรียนนิยมเลี้ยงสัตว์  โดยมีการทำนมเนย  เนย  และผ้าขนสัตว์เป็นต้น
                 4.การเขียนตัวหนังสือ  อารยธรรมสุเมเรียนเป็นชนชาติแรกในดินแดนเมโสโปเตเมียที่รู้จักการเขียนหนังสือ  การเขียนตัวหนังสือของชาวสุเมเรียนจะใช้ไม้เสี้ยนปลายให้แหลมหรือใช้กระดูทำปลายให้มีลักษณะคล้ายรูปลิ่มกดลงบนแผ่นดินเหนียวที่ยังอ่อนอยู่ทำให้เกิดเป็นรอย  แล้วนำไปตากแดดให้แห้งหรือเผาไฟตัวอักษรชนิดนี้เรียกว่าตัวอักษรคูนิฟอร์ม (Cuneiform) หรือตัวอักษรรูปลิ่ม  และใช้ตัวอักษรนี้เขียนข้อความต่างๆ  ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเขียนตัวอักษรของกรีกและโรมันในสมัยต่อมา
                5.วรรณกรรม   ด้วยความสำเร็จในระบบการเขียนทำให้ชาวสุเมเรียนสามารถสร้างวรรณกรรมที่สำคัญเรื่องแรกของโลก  วึ่งรู้จักอย่างกว้างขวางและมีขนาดยาวที่ชื่อว่า  มหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamehsepic) เขียนบนแผ่นดินเผาขนาดใหญ่  12 แผ่น  รวมด้วยกันทั้งสิ้น  3000 บรรทัด
                  6.ด้านคณิตศาสตร์   ชาวสุเมเรียนเป็นพวกแรกที่คิดค้นวิธีการคิดเลข  ทั้งการลบ  การบวก  และการคูณ  ชาวสุเมเรียนนิยมใช้หลัก  60  และหลักนี้เองถูกนำมาใช้ในเรื่องการนับเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน  รวมทั้งการแบ่งวงกลมออกเป็น  360 องศา (6 x 60) ด้วย
                 7.การสร้างระบบชั่งตวงวัดและปฏิทิน   ชาวสุเมเรียนรู้จักการใช้ระบบการชั่ง  ตวง  วัด  เป็นอย่างดี  มาตราชั่ง  ตวง  วัด  ของชาวสุเมเรียนแบ่งเป็น   เชคเคิล  (shekel)  มีน่า  (Mina)  และทาเลน  (talent)  โดยใช้หลัก 60 คือ 60 เชคเคิล เป็น 1 มีน่า ,  60 มีน่า เป็น 1 ทาเลน  สำหรับการสร้างปฏิทิน  พระชาวสุเมเรียนได้คิดค้นหลักใหญ่ของปฏิทินขึ้นเป็นครั้งแรก  ทั้งนี้โดยอาศัยการเฝ้าสังเกตการโคจรของดวงจันทร์  ปฏิทินของชาวสุเมเรียนเป็นปฏิทินแบบจันทรคติ  ปีหนึ่งมี  12 เดือน  เดือนหนึ่งมี 29 1/2 วัน  ปีของชาวสุเมเรียนจึงมีเพียง  354  วัน  วึ่งคลาดเคลื่อนกับปีตามแบบสุริยคติซึ่งมี 365 1/4 วัน  เดือนของชาวสุเมเรียนแบ่งออกเป็น 4 สัปดาห์  สัปดาห์ละ 7 - 8 วัน  วันหนึ่งแบ่งออกเป็นกลางวัน 6 ชั่วโมง และกลางคืน 6 ชั่วโมง  (1 ชั่วโมงเทียบเท่า 2 ชั่วโมงในปัจจุบัน)
ซิกกูแรต สมัยอาะยธรรมมุเมเรียน


                     8.ด้านสถาปัตยกรรม   ชาวสุเมเรียนได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มการใช้อิฐในการก่อสร้างอย่างกว้างขวาง  โดยมีการทำอิฐขึ้นจากดินเหนียว  วึ่งมีอยู่มากมายโดยการใช้แทนหินวึ่งเป็นของหายาก  อิฐของสุเมเรียนมี 2 ประเภท  คือ  ประเภทตากแห้ง และประเภทอบความร้อนหรือเผาไฟชนิดแรกจะไม่ทนความชื้น  ใช้ในการก่อสร้างอาคารส่วนที่ไม่กระทบต่อความชื้นแฉะ  อิฐชนิดอบความร้อนหรือเผาจะทนความชื้นได้ดี  ใช้ก่อส่วนล่างของอาคาร  เช่น  ยกพื้นฐานรากและกำแพงเป็นต้น  การพัฒนาอิฐจนมีคุณภาพดี  ทำให้ชาวสุเมเรียนได้สร้างนครรัฐของตนขึ้น  โดยสร้างกำแพงอิฐขึ้นล้อมรอบบริเวณที่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของนครรัฐ  ได้แก่  บริเวณที่เป็นวัดหรือที่ศักดิ์สิทธิ์  อันเป็นที่ประทับของพระเป็นเจ้า  ตรงมุมด้านหนึ่งของบริเวณอันศักดิ์สิทธิ์มีสิ่งก่อสร้างที่มีรูปร่างคล้ายๆ  พีระมิดของอียิปต์  เรียกว่า  ซิกกูแรต (Ziggurat)  หรือ  "หอคอยระฟ้า"  สร้างเป็นหอสูง  ขนาดใหญ่  ลดหลั่นเป็น 3 ระดับ  ยอดบนสุดเป็นวิหารเทพเจ้าสูงสุดประจำนครรัฐ  เบื้องล่างถัดจาก "หอคอยระฟ้า"  ลงมาเป็นที่ตั้งของวัดวาอาราม  พระราชวังของกษัตริย์  สุสานหลวง  ที่ทำการตามความนึกคิดของพวกสุเมเรียน  ชาวสุเมเรียนบูชาเทพเจ้าหลายองค์  และแต่ละนครรัญจะมีพระเป็นเจ้า  ผู้เป็นองค์อุปถัมภ์นครรัฐนั้น  โดยเฉพาะประทับอยู่ ณ วัดใหญ่ที่เรียกว่า  ซิกกูแรต  ประชาชนมีหน้าที่ดุแลทำนุบำรุงวัดในรูปของภาษีหรือเครื่องพลีซึ่งนำมาถวายวัดผ่านทางพระหรือนักบวชผู้มีหน้าที่ดูแล

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขับเคลื่อนโดย Blogger.