สถาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์เป็นปัยจัยสำคัญโดยตรงปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์อารยธรรมของมนุษย์ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยโบราณ สังคมสมัยนั้นมีลักษณะเป็นสังคมเกษตรกรรม ดังนั้นธรรมชาติจึงมีอิทธิพลเหนือชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หลายแห่งได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของธรรมชาติว่ามีผลต่อความเจริญของอารยธรรม มนุษย์อย่างมาก ดังจะเห็นได้ว่าอารยธรรมสำคัญๆที่เกิดขึ้นในสมัยโบราณ เช่น อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ตั้งอยู่บนดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ในลุ่มแม่น้ำไกริสและยูเฟรติส อารยธรรมอียิปต์ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์ อารยธรรมอินเดียตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ อารยธรรมจีนตั้งอยู่ราบลุ่มแม่น้ำฮวงโห อารยธรรมกรีกและอารยธรรมโรมันตั้งอยู่บริเวณริมคาบสมุทร เป็นต้น จะเห็นได้ว่าอารยธรรมโบราณดังกล่าวเกิดขึ้นในสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีความเหมาะสม ซึ่งอาจเป็นวริเวณที่ราบใกล้ภูเขา ที่ราบลุ่มแม่น้ำ หรือบริเวณที่ที่มีความเหมาะสมกับการเพาะปลูก โดยการเลือกตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เหมาะสมนี้จะช่วยให้ชุมชนนั้นเกิดการพัฒนาจนถึงขั้นมีการสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นได้
นอกจากนี้นักภูมิศาสตร์ชาวอมเริกันชื่อ ดร.เอลล์สเวอร์ธ ฮันตินตัน (Dr.Ellsworth Huntinton) ได้นำทฏษฏีภูมิศาสตร์ มาอธิบายว่า สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์เป็นปัยจัยที่ช่วยเสริมสร้างอารยธรรมได้อย่างไร โดยได้สนับสนุนความเชื่อดั้งเดิมของนักแราชญ์ในสมัยโบราญ คือ อริสโตเติล ที่ว่าปัยจัยอื่นอาจมีความสำคัญเหมือนกันในการสร้างอารยธรรม แต่ไม่ว่าชาติใด ไม่ว่าจะสมัยปัจจุบันหรือสมัยโบราณก็จะไม่สามารถสร้างสมวัฒนธรรมของตนได้สูงสุด ถ้าปราศจากสิ่งแวดล้อมที่ดี นั่นหมายถึงต้องมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม ขณะเดียวกันยังกล่าวอีกว่า อุณหภูมิที่เหมาะสมในการตั้งถิ่นฐาน จะต้องไม่อยู่ในเขตอากาศแปรปวน เช่น ในเขตพายุหมุน อากาศมักจะเปลี่ยนแปลงเสมอ เขตที่อากาศร้อนเกินไป หนาวเกินไป หรือแห้งแล้งเกินไป จะมีคนเข้าไปอาศัยอยู่น้อย เช่น ในบริเวณอาร์กติก บริเวณทะเลทราย ป่าดิบอินเดีย อเมริกากลาง และบราซิล เป็นต้น
ดังนั้นปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ จึงเป็นปัจจัยสำคัญโดยตรงปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์อารยธรรมของมนุษย์ขึ้น
ปัจจัยที่ 2 ระบบการเมืองการปกครอง
มนุษย์เมื่อมีการตั้งบ้านเมืองเป็นหลักแหล่งแล้ว ความจำเป็นในการสร้างอารยธรรมต่อมาคือ จะต้องมีการจัดการชุมชนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น การจัดการระบบชลประทาน การใช้ที่ดิน ทำให้ต้องมีหัวหน้าในการออกกฏข้อบังคับ และระบบการปกครองเพื่อให้เกิดความสงบสุขและความปลอดภัยในสังคม การปกครองนี้ได้เริ่มขึ้นภายในครอบครัวก่อนแล้วขยายวงกว้างออกไปเป็นครอบครัวต่างๆ จนกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ เนื่องจากสังคมที่ซับซ้อนขึ้นทำให้ต้องมีการพัฒนาการปกครองตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมจนปัจจุบัน
มนุษย์ได้พัฒนาระบบการปกครองของแต่ละยุคแต่ละสมัยแตกต่างกันตามสภาพสังคมในแต่ละสมัย เช่น มีการพัฒนาจากหัวหน้าครอบครัวเป็นการปกครองระบบพ่อเมือง (Patriachy) ระบบราชาธิปไตย (Monarchy) และระบบประชาธิปไตย (Democracy) และในบางสังคมก็เกิดระบบคณาธิปไตย (Oligarchy) ระบบทรราชย์ (Tyrany) ระบบเผด็จการ (Dictatorship) หรือเกิดลัทธิการเมือง เช่น ลัทธิฟาสซิสม์ (Fascism) ลัทธินาชี (Nazism) และลัทธิคอมมิวนิสต์ (Communism) เป็นต้น
ปัจจัยที่ 3 ความเจริญทางเทคโนโลยี
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่มีผลต่อการสร้างอารยธรรมของมนุษย์ โดยในแต่ละยุคแต่ละสมัยมักจะมีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีก้เท่ากับว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงอารยธรรมในแต่ละยุคแต่ละสมัยด้วยเช่นกัน
เทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคับที่ก่อให้เกิดอารยธรรมของมนุษย์ กล่าวคือ ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ เทคโนโลยีของมนุษย์ยังคงเป็นแบบง่ายๆ แต่ภายหลังเมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีแบบใหม่นี้มักเกิดขึ้นจากที่มนุษย์พยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติ เพื่อสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสมบุรณ์ ดังนั้นมนุษย์จึงพยายามขวนขวายหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติหรือบางแห่งต้องหาวิธีเอาชนะธรรมชาติในทุกด้าน ความพยายามทั้งสองประการนี้ก่อให้เกิดการแสวงหาความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ เชน เทคโนโลยีในด้านเกษตร ซึ่งในบางท้องที่เกิดน้ำท่วม เกิดความแห้งแล้ง ก็ต้องมีการพัฒนาระบบชลประทานเพื่อประโยชน์ในการเกษตรและการประมง บางท้องที่ต้องเรียนรู้วิธีการนำเหล็กมาใช้เพื่อทำคันไถและทำอาวุธ หรือตัดไม้เพื่อบุกเบิกพื้นที่ทางการเกษตรหรือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร นอกจากนี้ในท้องที่ที่เป็นทะเลทราย มนุษย์ยังสามารถปรับปรุงที่ดิน ให้สามารถใช้ประโยชน์ในการเกษตรได้ ส่วนด้านการประมง แรกเริ่มมนุษย์ใช้กระดูกสัตว์ทำคันเบ็ด ต่อมาก้เริ่มพัฒนาเครื่องมือจับสัตว์ เช่น แห อวน และเรือ เป็นต้น ขณะที่เทคโนโลยีทางด้านขนส่งและการคมนาคม เริ่มแรกมนุษย์รู้จักการใช้ม้าเป็นพาหนะวึ่งนับได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีได้อย่างชัดเจน และทำให้เมืองในอดีตได้ขยายตัวและมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างมากตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการก่อสร้าง เทคโนโลยีด้านอาวุธ เทคโนโลยีด้านเครื่องมือเครื่องใช้ เทคโนโลยีสาธารณสุข ฯลฯ
จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีที่ได้พัฒนาขึ้นในยุคต่างๆ เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการความเจริญและการสร้างสรรค์อารยธรรมของมนุษย์
ปัจจัยที่ 4 การเจริญเติบโตของสังคัมและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม
มนุษย์เมื่อมีการรวมตัวเป็นชุมชน โดยการรวมตัวขั้นแรกอาจเป็นเพียงหมู่บ้านหรือเมืองขนาดเล็ก ภายหลังจึงขยายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ วึ่งการรวมตัวกันของมนุษย์นั้นนอกจากเพื่อให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แล้ว ยังทำให้มนุษย์สามารถประดิษฐ์สิ่งต่างๆขั้นได้อีกด้วย ที่สำคัญเมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักการใช้ไฟ ทำให้มนุษย์เริ่มมีเวลาเพิ่มมากขึ้น กล่าวคือก่อนที่จะรู้จักการใช้ไฟมนุษย์จะทำงานเฉพาะเวลากลางวัน พอกลางคืนก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเนื่องจากไม่มีแสงสว่าง แต่เมื่อมนุษย์รู้จักการใช้ไฟทำให้มนุษย์สามารถทำงานเพิ่มขึ้นในตอนกลางคืน โดยที่กลางวันยังคงทำไร่ ทำนาและเลี้ยงสัตว์ พอกลางคืนก้เริ่มมีงานประดิษฐ์งานฝีมือต่างๆ เช่นทอผ้า ทำเครื่องมือเครื่องใช้ และที่สำคัญทำให้เกิดการพัฒนาความคิดต่างๆขึ้น
การรวมตัวกันของมนุษย์ยังก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางสังคม กล่าวคือช่วยทำให้มนุษย์เกิดความรับผิดชอบร่วมกันในด้านสาธารณประโยชน์ เช่น การช่วยกันดูแลระบบชลประทาน การช่วยป้องกันตนเอง ก่อให้เกิดการแบ่งแยกแรงงานและเกิดกลุ่มอาชีพเฉพาะขึ้นในสังคม เช่น ชาวนา ชาวไร่ ช่างประเภทต่างๆ พ่อค้า เจ้าพนักงาน นักรบ นักบวช ตลอดจนทาสและกรรมการ ฯลฯ การที่มนุษย์เริ่มมีการรวมตัวเป็นสังคมในลักษณะนี้จำเป็นต้องมีการจัดระเบียบขึ้นในกลุ่มเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อมนุษย์ที่อยู่รวมกันภายในกลุ่มของตน นอกจากนี้ยังมีการออกกฏหมายเพื่อตัดสินคดี มีการเลือกผู้นำ มีการสร้างสถาบันต่างๆ ขึ้นมาเพื่อสะดวกในการปกครอง มีการวางแผนจัดการในเรื่องต่างๆเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความเจริญขึ้นในสังคมอารยธรรมของมนุษย์
ปัจจัยที่ 5 การชยายตัวทางเศรษฐกิจ
การขยายตัวทางเศรษฐกิจเกิดจากความต้องการปัจจัยสี่ของมนุษย์ ซึ่งก้คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ความจำเป็นเหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้มนุษย์ต้องขวนขวายแสวงหาปัจจัยเหล่านี้จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ มนุษย์ต้องต่อสู้กับธรรมชาติ ต้องฝึกสัตว์ป่าให้เชื่องเพื่อนำมาใช้งาน ต้องปลูกพืชไว้เพื่อบริโภค โดยมนุษย์ต้องต่อสู้กับสิ่งต่างๆ ก็เพื่อสนองความต้องการที่เรียกว่าปัจจัยสี่นั่นเอง แต่ต่อมาเมื่อความต้องการภายในครอบครัวขยายขึ้น ทำให้มนุษย์ต้องแสวงหาสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย กล่าวคือ เมื่อมนุษย์พ้นสภาพของการล่าสัตว์ เริ่มตั้งถิ่นฐานอยู่กับที่ เริ่มมีประชากรมาอาศัยอยู่รวมกันมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงแรงงานที่ชัดเจน สิ่งเหล่านี้ทำให้ความต้องการปัจจัยสี่ของมนุษย์มีเพิ่มมากขึ้น ทำให้มนุษย์มีความจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนแาหารและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตลอดจนการจัดให้มีบริการในรูปแบบต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดศูนย์กลางเพื่อดำเนินกิจกรรมดังกล่าว เรียกว่า "ตลาด" เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งของ และเมื่อการแลกเปลี่ยนมีจำนวนมากขึ้นจึงเกิดการคิดมูลค่าของสิ่งของเป็นจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขอย่างมีระบบขึ้นมา โดยการซื้อขายแลกเปลี่ยนนี้ทำให้การเมืองในเวลานี้มีบทบาทในฐานะเป้นศูนย์กลางที่ขยายตัวไปพร้อมๆกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้เมืองต่างๆที่เกิดขึ้นใหม่ตามเส้นทางการค้าหรือชุมชนทางการค้ายังได้กลายเป็นแหล่งอารยธรรมแห่งใหม่ เช่น เมืองเวนิช เจนัว ปิซา เป็นต้น และจากการที่เมืองดังกล่าวเป็นเมืองที่มีการค้าขายข้ามแดนในระดับภูมิภาคนั้นได้นำมาซึ่งการติดต่อค้าขายระหว่างแปล่งต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันทางอารยธรรม จึงเป็นเหตุให้อารยธรรมจากดินแดนต่างๆ มีโอกาสในการแลกเปลี่ยนหรือแผ่ขยายอารยธรรมตนไปยังดินแดนอื่นๆ
ปัจจัยที่ 6 ความเชื่่อและศาสนา
ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์มีหลายด้าน นอกจากความต้องการภายนอกในด้านต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว มนุษย์ยังคงต้องการความมั่นคงทางจิตใจ เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและอยู่รอดปลอดภัย มนุษย์จึงจำเป็นต้องแสวงหาความผูกพันกับอำนาจเหนือธรรมชาติ หรือสิ่งที่ปราศจากตัวตนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้ แต่เชื่อว่าสามารถปกป้องคุ้มครองตนเองได้ การแสดงออกในการแสวงหาความมั่นคงทางจิตใจนี้มีลักษณะต่างกันตั้งแต่สมัยโบราณถึงสมัยปัจจุบัน วึ่งในช่วงเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา มนุษย์ค้นพบว่า ศาสนาและความเชื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางจิตใจ ดังนั้น ศาสนาจึงเป็นผลของความต้องการทางจิตใจ การแสดงออกซึ่งความคิด และความเชื่อของมนุษย์
ขณะเดียวกันมนุษย์จะมีความอ่อนแอในตนเอง ทำให้ศาสนาและความเชื่อเป็นสิ่งที่สนองความต้องการที่มนุษย์จะขาดเสียมิได้ มนุษย์ต้องการที่พึ่ง ต้องการเครื่องยึดเหนี่ยวเพื่อให้ชีวิตมั่นคง เมื่อมนุษย์เห็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติก็พยายามแสวงหาเหตุผลที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เหล่านั้น เมื่อได้คำตอบที่ตนพอใจ ก้มักจะยึดถือเชื่อมั่น ในขั้นแรกนี้อาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ต่อมาเมื่อผู้อื่นเห็นว่าดีก้นำมาปฏิบัติเป็นหลักการเดียวกันมากขึ้นจนเกิดเป็นลัทธิศาสนา มีกฏข้อบังคับ พิธีกรรม เกิดประเพณีต่างๆ ขึ้นมา เช่น เกิดการบูชาเทพเจ้า บทสวดสถาที่บูชาเทพเจ้า เกิดพิธีกรรมต่างๆ เกิดเครื่องมือเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบพิธี และเกิดงานศิลปะที่เกี่ยวกับเทพเจ้าที่นับถือเพื่อเป็นการบูชาและแสดงความเคารพในสิ่งที่มนุษย์จิตนาการขึ้น โดยแสดงวามรู้สึกนึกคิดของตนออกมาในลักษณะรูปธรรมต่างๆ เช่น ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม วรรณคดี และดนตรี นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องยึดเหนื่ยวจิตใจของมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความกลัว
ปัจจัยที่ 4 การเจริญเติบโตของสังคัมและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม
มนุษย์เมื่อมีการรวมตัวเป็นชุมชน โดยการรวมตัวขั้นแรกอาจเป็นเพียงหมู่บ้านหรือเมืองขนาดเล็ก ภายหลังจึงขยายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ วึ่งการรวมตัวกันของมนุษย์นั้นนอกจากเพื่อให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แล้ว ยังทำให้มนุษย์สามารถประดิษฐ์สิ่งต่างๆขั้นได้อีกด้วย ที่สำคัญเมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักการใช้ไฟ ทำให้มนุษย์เริ่มมีเวลาเพิ่มมากขึ้น กล่าวคือก่อนที่จะรู้จักการใช้ไฟมนุษย์จะทำงานเฉพาะเวลากลางวัน พอกลางคืนก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีกเนื่องจากไม่มีแสงสว่าง แต่เมื่อมนุษย์รู้จักการใช้ไฟทำให้มนุษย์สามารถทำงานเพิ่มขึ้นในตอนกลางคืน โดยที่กลางวันยังคงทำไร่ ทำนาและเลี้ยงสัตว์ พอกลางคืนก้เริ่มมีงานประดิษฐ์งานฝีมือต่างๆ เช่นทอผ้า ทำเครื่องมือเครื่องใช้ และที่สำคัญทำให้เกิดการพัฒนาความคิดต่างๆขึ้น
การรวมตัวกันของมนุษย์ยังก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางสังคม กล่าวคือช่วยทำให้มนุษย์เกิดความรับผิดชอบร่วมกันในด้านสาธารณประโยชน์ เช่น การช่วยกันดูแลระบบชลประทาน การช่วยป้องกันตนเอง ก่อให้เกิดการแบ่งแยกแรงงานและเกิดกลุ่มอาชีพเฉพาะขึ้นในสังคม เช่น ชาวนา ชาวไร่ ช่างประเภทต่างๆ พ่อค้า เจ้าพนักงาน นักรบ นักบวช ตลอดจนทาสและกรรมการ ฯลฯ การที่มนุษย์เริ่มมีการรวมตัวเป็นสังคมในลักษณะนี้จำเป็นต้องมีการจัดระเบียบขึ้นในกลุ่มเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อมนุษย์ที่อยู่รวมกันภายในกลุ่มของตน นอกจากนี้ยังมีการออกกฏหมายเพื่อตัดสินคดี มีการเลือกผู้นำ มีการสร้างสถาบันต่างๆ ขึ้นมาเพื่อสะดวกในการปกครอง มีการวางแผนจัดการในเรื่องต่างๆเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความเจริญขึ้นในสังคมอารยธรรมของมนุษย์
ปัจจัยที่ 5 การชยายตัวทางเศรษฐกิจ
การขยายตัวทางเศรษฐกิจเกิดจากความต้องการปัจจัยสี่ของมนุษย์ ซึ่งก้คืออาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ความจำเป็นเหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้มนุษย์ต้องขวนขวายแสวงหาปัจจัยเหล่านี้จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ มนุษย์ต้องต่อสู้กับธรรมชาติ ต้องฝึกสัตว์ป่าให้เชื่องเพื่อนำมาใช้งาน ต้องปลูกพืชไว้เพื่อบริโภค โดยมนุษย์ต้องต่อสู้กับสิ่งต่างๆ ก็เพื่อสนองความต้องการที่เรียกว่าปัจจัยสี่นั่นเอง แต่ต่อมาเมื่อความต้องการภายในครอบครัวขยายขึ้น ทำให้มนุษย์ต้องแสวงหาสิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย กล่าวคือ เมื่อมนุษย์พ้นสภาพของการล่าสัตว์ เริ่มตั้งถิ่นฐานอยู่กับที่ เริ่มมีประชากรมาอาศัยอยู่รวมกันมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงแรงงานที่ชัดเจน สิ่งเหล่านี้ทำให้ความต้องการปัจจัยสี่ของมนุษย์มีเพิ่มมากขึ้น ทำให้มนุษย์มีความจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนแาหารและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตลอดจนการจัดให้มีบริการในรูปแบบต่างๆ ซึ่งทำให้เกิดศูนย์กลางเพื่อดำเนินกิจกรรมดังกล่าว เรียกว่า "ตลาด" เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งของ และเมื่อการแลกเปลี่ยนมีจำนวนมากขึ้นจึงเกิดการคิดมูลค่าของสิ่งของเป็นจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขอย่างมีระบบขึ้นมา โดยการซื้อขายแลกเปลี่ยนนี้ทำให้การเมืองในเวลานี้มีบทบาทในฐานะเป้นศูนย์กลางที่ขยายตัวไปพร้อมๆกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้เมืองต่างๆที่เกิดขึ้นใหม่ตามเส้นทางการค้าหรือชุมชนทางการค้ายังได้กลายเป็นแหล่งอารยธรรมแห่งใหม่ เช่น เมืองเวนิช เจนัว ปิซา เป็นต้น และจากการที่เมืองดังกล่าวเป็นเมืองที่มีการค้าขายข้ามแดนในระดับภูมิภาคนั้นได้นำมาซึ่งการติดต่อค้าขายระหว่างแปล่งต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันทางอารยธรรม จึงเป็นเหตุให้อารยธรรมจากดินแดนต่างๆ มีโอกาสในการแลกเปลี่ยนหรือแผ่ขยายอารยธรรมตนไปยังดินแดนอื่นๆ
ปัจจัยที่ 6 ความเชื่่อและศาสนา
ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์มีหลายด้าน นอกจากความต้องการภายนอกในด้านต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว มนุษย์ยังคงต้องการความมั่นคงทางจิตใจ เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและอยู่รอดปลอดภัย มนุษย์จึงจำเป็นต้องแสวงหาความผูกพันกับอำนาจเหนือธรรมชาติ หรือสิ่งที่ปราศจากตัวตนที่มนุษย์สัมผัสไม่ได้ แต่เชื่อว่าสามารถปกป้องคุ้มครองตนเองได้ การแสดงออกในการแสวงหาความมั่นคงทางจิตใจนี้มีลักษณะต่างกันตั้งแต่สมัยโบราณถึงสมัยปัจจุบัน วึ่งในช่วงเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา มนุษย์ค้นพบว่า ศาสนาและความเชื่อเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่ความมั่นคงทางจิตใจ ดังนั้น ศาสนาจึงเป็นผลของความต้องการทางจิตใจ การแสดงออกซึ่งความคิด และความเชื่อของมนุษย์
ขณะเดียวกันมนุษย์จะมีความอ่อนแอในตนเอง ทำให้ศาสนาและความเชื่อเป็นสิ่งที่สนองความต้องการที่มนุษย์จะขาดเสียมิได้ มนุษย์ต้องการที่พึ่ง ต้องการเครื่องยึดเหนี่ยวเพื่อให้ชีวิตมั่นคง เมื่อมนุษย์เห็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติก็พยายามแสวงหาเหตุผลที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เหล่านั้น เมื่อได้คำตอบที่ตนพอใจ ก้มักจะยึดถือเชื่อมั่น ในขั้นแรกนี้อาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ต่อมาเมื่อผู้อื่นเห็นว่าดีก้นำมาปฏิบัติเป็นหลักการเดียวกันมากขึ้นจนเกิดเป็นลัทธิศาสนา มีกฏข้อบังคับ พิธีกรรม เกิดประเพณีต่างๆ ขึ้นมา เช่น เกิดการบูชาเทพเจ้า บทสวดสถาที่บูชาเทพเจ้า เกิดพิธีกรรมต่างๆ เกิดเครื่องมือเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบพิธี และเกิดงานศิลปะที่เกี่ยวกับเทพเจ้าที่นับถือเพื่อเป็นการบูชาและแสดงความเคารพในสิ่งที่มนุษย์จิตนาการขึ้น โดยแสดงวามรู้สึกนึกคิดของตนออกมาในลักษณะรูปธรรมต่างๆ เช่น ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม วรรณคดี และดนตรี นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องยึดเหนื่ยวจิตใจของมนุษย์ให้หลุดพ้นจากความกลัว
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น